
วันที่ 28 พ.ย. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้รัฐบาลเตรียมออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูผู้ประสบภัยให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด พร้อมทั้งเตรียมออก 8 มาตรการฟื้นฟูชีวิตคนหาดใหญ่และผู้ประสบภัยในพื้นที่ภาคใต้ ดังนี้
1. พักหนี้ พักเงินต้น พักดอกเบี้ย สำหรับลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐ รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท เป็นเวลา 1 ปี
2. ให้เงินกู้เพื่อการยังชีพและประกอบอาชีพ 100,000 บาท ไม่มีดอกเบี้ย เป็นเวลา 6 เดือน โดยธนาคารของรัฐ (ระยะเวลาเงินกู้ 3 ปี)
3. ให้เงินกู้เพื่อการซ่อมแซมที่พักอาศัย 100,000 บาท ไม่มีดอกเบี้ย เป็นเวลา 1 ปี โดยธนาคารของรัฐ (ระยะเวลาเงินกู้ 3 ปี)
4. ให้บริษัทประกันภัยรถยนต์ จ่ายชดเชยความเสียหายตามกรมธรรม์ประกันภัย โดยลดขั้นตอน อำนวยความสะดวกให้ประชาชน
5. ให้สำนักงานประกันสังคม “จ่ายชดเชยสูงสุดทุกกรณี” แก่ผู้ประกันตน
6. จ่ายเงินชดเชยแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติครั้งนี้ รายละ 2,000,000 บาท ในพื้นที่ที่ประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน
7. สำหรับผู้ประกอบการ SMEs รัฐบาลจะจัดมาตรการช่วยเหลือ สนับสนุน ฟื้นฟูธุรกิจให้เป็นกรณีพิเศษโดยเร็วที่สุด
8. รัฐบาลจะสนับสนุนมาตรการทางภาษี และการจัดกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่หาดใหญ่และพื้นที่ประสบภัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และดึงนักท่องเที่ยวเข้าไปใช้จ่ายให้มากที่สุด
ทั้งนี้ รัฐบาลจะเร่งรัดการฟื้นฟูเมืองและฟื้นฟูชีวิต ให้การสนับสนุน อำนวยความสะดวกทุกประการ เพื่อให้คนหาดใหญ่และผู้ประสบภัยทุกท่านกลับมาสู่ภาวะปกติได้โดยเร็วที่สุด

“อนุทิน” ถึง มทบ.42 หัวโต๊ะถกติดตามสถานการณ์หาดใหญ่
วันที่ 28 พ.ย. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย พร้อมคณะเดินทางมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จากนั้นขึ้นเฮลิคอปเตอร์ต่อมายังศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพภาคที่ 4 ส่วนหน้า มณฑลทหารบกที่ 42 ค่ายเสนาณรงค์ โดยมีนายรัฐศาสตร์ ชิดชู ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พล.ท.นรธิป โพยนอก แม่ทัพภาคที่ 4 พล.ต.ต. ธีรศักดิ์ ไชยโยธา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา และนายณรงค์พร ณ พัทลุง (นายกฯแป้น) นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ มารอรับและรายงานสถานการณ์
จากนั้นนายกรัฐมนตรีทักทายประชาชนในศูนย์พักพิง ภายในค่ายเสนาณรงค์ โดยมีประชาชนหลายคนเดินมาหานายกรัฐมนตรี และขอให้ช่วยเหลือชาวบ้านด้วย นายกรัฐมนตรีจึงตอบกลับว่า “นี่ก็มาดูความช่วยเหลือต่างๆ” ก่อนที่ชาวบ้านจะอวยพรนายอนุทิน ให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก
ต่อมาเวลา 13.35 น. ที่ค่ายเสนาณรงค์ นายอนุทิน เป็นประธานการประชุมกับหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำในอำเภอหาดใหญ่ พร้อมกล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้เราจะพูดในหมวดของการฟื้นฟู เพราะเชื่อว่าระดับน้ำลดลงไปตามลำดับ ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่คืนประชาชนกลับสู่เคหสถานโดยเร็วที่สุด ตอนนี้เป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือดูแลประชาชนด้านสุขภาพ ผู้ที่ติดอยู่ในเคหสถานนำเข้าสู่กระบวนการรักษาให้เร็ว และประชาชนที่อยู่ศูนย์อพยพให้คืนเขากลับบ้าน แต่หากจะให้กลับไปตอนนี้นั้นก็อาจจะอยู่ไม่ได้ เนื่องจากบ้านเรือนเสียหาย ตนจึงได้หารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด จัดตั้งทีมเข้าไปช่วยเฮ้าส์คลีนนิ่งให้บ้านเรือนของประชาชนกลับคืนสู่สภาพที่อยู่ได้ก่อน แต่ยังไม่ถึงขั้นซ่อมจนเรียบร้อย
นายกฯ กล่าวว่า โดยจะใช้วิธีการดำเนินการระดมทีมเข้าไป ซึ่งอาจจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์หรือ 10 วัน โดยในช่วงที่รอได้มีการใช้โมเดลในสมัยการแพร่ระบาดของโควิด โดยให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยสำรวจให้คนเหล่านั้นได้ไปพักโรงแรมต่างๆ ทั่วจังหวัดสงขลา ในช่วงที่รอกลับบ้าน โดยทางผู้ว่าราชการจังหวัดจะกำหนดมาได้เลยว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ ถือเป็นการช่วยเหลือกันหลายฝ่ายทำให้ประชาชนได้อยู่กันเป็นสัดส่วนและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ลดภาระในการจัดเตรียมอาหาร ในการดูแลด้านอื่นๆ ตนได้จัดสรรงบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไว้แล้ว และกำชับผู้ว่าฯจัดสรร รวมอาหารสามมื้อที่มีคุณภาพไว้ด้วย ถือว่าเราหาแขกไปให้ผู้ประกอบการโรงแรม เพื่อให้เขาได้มีเงินทุนหมุนเวียนจากค่าที่พักที่เราจะดำเนินการให้ และถือเป็นการช่วยเหลือประชาชนช่วงที่รอก่อนจะกลับบ้าน
นายกฯ กล่าวว่า ส่วนในเรื่องของการฟื้นฟูเมือง การเก็บ การล้างทำความสะอาด การแบ่งส่วนรับผิดชอบว่าใครรับผิดชอบตรงไหน ตนจะให้เวลา 7 วัน ในการดำเนินการในเรื่องนี้ หากติดขัดหรือติดปัญหาตรงไหนขอให้ติดเป็นพื้นที่ มองว่าคงไม่ใช่ทั้งหมด เพราะคงมีพื้นที่ที่เราสามารถดำเนินการได้เรียบร้อย และทางผู้ว่าราชการจังหวัดต้องเร่งจัดแผนบริหารจัดการขยะมูลฝอย ซากปรักหักพัง ซากต้นไม้ และชิ้นส่วนต่างๆต้องเร่งดำเนินการเก็บกวาดให้หมดไป และตนก็อยากทราบว่าขยะเหล่านี้จะนำไปทิ้งไว้ที่ไหน จะมีการทำลายให้สิ้นซากไปหรือไม่ โดยนี่จะเป็นนโยบายและข้อสั่งการที่จะต้องเร่งดำเนินการเพื่อคืนสภาพเมืองหาดใหญ่ให้เร็วที่สุด
นายอนุทิน กล่าวต่อถึงกรณีผู้เสียชีวิตว่า ในเรื่องผู้เสียชีวิตต้องเร่งดำเนินการคืนให้ญาติโดยเร็วที่สุด โดยเร่งพิสูจน์อัตลักษณ์ให้รวดเร็ว แต่ต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย ขอให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเร่งดำเนินการอย่างเต็มที่ ซึ่งทราบว่าได้มีการระดมหน่วยแพทย์นิติเวชเข้ามา ทั้งนี้ผู้เสียชีวิตในเบื้องต้นได้จัดสรรงบประมาณแล้วจะทำการจ่ายค่าชดเชยรายละ 2 ล้านบาท
นายอนุทิน กล่าวว่า สำหรับการเคลียร์ทรัพย์สินต่างๆที่ประชาชนเอามาหลบภัยที่กีดขวางการจราจร ซึ่งน้ำลดลงแล้วประชาชนสามารถนำสิ่งเหล่านี้คืนไปได้ ก็ให้เร่งดำเนินการ เรามีทะเบียนรถต่างๆ หากคนไหนยังไม่มาเคลื่อนย้ายก็ต้องสืบหาเพื่อเร่งให้เขามาเคลื่อนย้ายโดยเร็ว หรือหากมีความจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายไปในที่ปลอดภัยก็ให้ประสานแจ้งเจ้าของรถว่าจะสามารถไปรับรถได้ที่ไหน โดยในส่วนนี้จะออกใบสั่งไม่ได้ พร้อมฝากผู้การสงขลา จัดชุดลาดตระเวนดูแลความปลอดภัยและทรัพย์สินของประชาชน

ศป.กฉ. รายงานยอดผู้เสียชีวิตน้ำท่วมใต้สะสม 145 ราย
เมื่อเวลา 15.10 น. วันที่ 28 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัยส่วนหน้า (ศป.กฉ.) แถลงผลการประชุม ศป.กฉ. ว่า จากการดำเนินงานเมื่อวันที่ 27 พ.ย. ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง อย่างเช่น กรณีมีการร้องขอให้ ศป.กฉ.ส่วนหน้าเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ยังตกค้างอยู่ จำนวน 1,934 เคส สามารถช่วยเหลือออกมาได้ 1,734 เคส คิดเป็น 89% แต่สาเหตุที่ได้ไม่ครบ 100% เนื่องจากบางกรณีมีการย้ายออกไปแล้ว บางกรณีเห็นว่าสถานการณ์ดีแล้ว ไม่มีความประสงค์ที่จะย้ายไปที่ศูนย์อพยพ ในภาพรวมความสามารถในการดูแลในศูนย์พักพิงเมื่อวันที่ 27 พ.ย. มีผู้เข้าเติมในศูนย์พักพิง เป็นยอดสะสมทั้งสิ้น 14,160 ราย ความจุที่ยังสามารถรองรับได้คือ 20,840 คน ซึ่งยังสามารถรองรับผู้อพยพที่จะมาอยู่ในศูนย์พักพิงได้ ความสามารถในการผลิตอาหารชุดเพื่อดูแลในศูนย์พักพิงและไปแจกให้กับผู้ที่ยังตกค้างอยู่ในพื้นที่ ณ เวลานี้ สามารถผลิตได้ 92,320 ชุดต่อวัน และในวันนี้ยังมีการเพิ่มกำลังการผลิตไปด้วย
นายสิริพงศ์ กล่าวว่า สำหรับรายงานผู้เสียชีวิตจากกรณีน้ำท่วมภาคใต้ ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่าในการนำเสนอยอดผู้เสียชีวิตจะมีการอัพเดททุกวัน ดังนั้นการนำข้อมูลที่นำเสนอเมื่อวันแรกหรือวันที่สองมาใช้ในเชิงเปรียบเทียบ ถือว่าเป็นการนำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จ ขอให้ระมัดระวังด้วย ทั้งนี้ ได้รับรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มียอดผู้เสียชีวิตสะสมของทั้งภาคใต้ 145 ราย แบ่งเป็น จ.นครศรีธรรมราช 9 ราย พัทลุง 4 ราย สงขลา 110 ราย ตรัง 2 ราย สตูล 5 ราย ปัตตานี 6 ราย ยะลา 5 ราย นราธิวาส 4 ราย และจากการพิจารณาของคณะกรรมการแพทย์และฝ่ายนิติเวช เห็นว่าไม่สมควรที่จะแบ่งเคสกรณี 110 รายของ จ.สงขลา ดังนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะไม่มีการแบ่งเคสรายงาน ทุกคนถือว่าเสียชีวิตในห้วงเวลานั้นทั้งสิ้น ดังนั้น รายงานยอดผู้เสียชีวิตของ จ.สงขลาคือ 110 ราย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เป็นเวลา 15.00 น. ที่เราได้ทำการแถลงยอด หากยอดใดที่เกิดหลังจากแถลง ยังไม่ถือว่าเป็นยอดอย่างเป็นทางการในวันนี้ เพราะกังวลว่าจะเกิดความสับสนในกรณีที่มีหน่วยงานอื่นนอกจาก ศป.กฉ.ได้รายงานไป ยอดสูงหรือต่ำกว่านี้จะกลายเป็นว่าข้อมูลไม่ตรงกัน และขอเน้นย้ำว่า ยอดทั้งหมดจะถูกส่งมารวมกันที่ ศป.กฉ.ทุกวัน ดังนั้น ยอดที่ถูกต้องในเวลานี้คือ 110 ราย โดยการบูรณาการข้อมูลเรียบร้อยแล้วระหว่างตำรวจ นิติเวช และ สธ.
เมื่อถามว่า ในวิกฤติครั้งนี้บางส่วนชื่นชม แต่บางส่วนตำหนิและเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบด้วยการลาออก นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ในท้ายที่สุดแล้วรัฐบาลก็ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เราก็ดำเนินการภายใต้ข้อจำกัดหลายอย่าง ยอมรับว่ามีข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในส่วนของการดำเนินการ สิ่งนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลเสียใจ ในกรณีน้ำท่วมมีอยู่หลายอย่างที่จะต้องดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการช่วยเหลือ การฟื้นฟู และการเยียวยา แน่นอนมีทั้งคนพอใจและคนไม่พอใจ แต่จากนี้ไปเป็นเวลาที่จะพิสูจน์ เวลาที่ปัจจัยอื่นๆ ควบคุมได้ ก็จะเป็นเวลาที่พิสูจน์การบริหารจัดการของรัฐบาล เดี๋ยวเรื่องนี้นายกฯน่าจะมีการพูดถึงในอนาคตอันใกล้นี้

“ภราดร” ยกมือไหว้ขออภัย ปมลุกหนี ยันไม่มีเจตนาเลี่ยงตอบคำถามสื่อ
เมื่อเวลา 15.05 น.วันที่ 28 พ.ย.ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นายภราดร ปริศนานันทกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัยส่วนหน้า (ศป.กฉ.) ได้ถือโอกาสชี้แจงกรณีปิดไมโครโฟนและลุกเดินออกไม่ตอบคำถามสื่อมวลชนในการแถลงประจำวันของ ศป.กฉ.วันที่ 27 พ.ย.ที่ว่าถึงเวลาที่รัฐบาลจะยอมรับว่าประเมินสถานการณ์ผิดพลาดแล้วหรือยัง โดยได้ยกมือไหว้ พร้อมกล่าวว่า อย่างไรก็ดี ในโอกาสแรกตนถือโอกาสตรงนี้ กราบขออภัยทุกคน เมื่อวันที่ 27 พ.ย.สำหรับตัวผมที่ได้เป็นข่าวไป ได้ลุกหนีในคำถามของพี่น้องสื่อมวลชน ก็ถือโอกาสขออภัย
“จริงๆผมไม่มีเจตนาที่จะเลี่ยงหรือไม่ตอบในคำถามใดๆ เพียงแต่ว่าเราประเมินสถานการณ์เมื่อวาน(27 พ.ย.) สิ่งที่อยากที่จะให้พี่น้องประชาชนได้รับรู้รับทราบ ก็คือมาตรการต่างๆ แล้วก็เนื้อหาสาระ ที่ฝ่ายปฏิบัติได้ปฏิบัติหน้าที่กัน ส่วนประเด็นทางการเมืองในช่วงนี้ ทางพวกเราก็ยังไม่อยากที่จะให้ออกไปเป็นประเด็นสำคัญ ประเด็นที่เป็นกระพี้หรือประเด็นที่ยังไม่ค่อยมีความสำคัญมากนัก เช่น ประเด็นการเมืองแบบนี้ เพียงแต่อยากจะให้ประเด็นหลัก ประเด็นสาระสำคัญที่จะต้องสื่อสารไปถึงพี่น้องประชาชนได้รับรู้รับทราบ ได้ออกมาเป็นข่าวหลัก จึงได้ไม่ตอบคำถามเมื่อวานนี้ เพราะฉะนั้นในประเด็นนี้ผมต้องขออภัย”นายภราดร กล่าว
นายภราดร กล่าวต่อว่า สำหรับพี่น้องสื่อมวลชนตนเชื่อว่าท่านรู้จักตนมานานพอสมควร ตนไม่มีนิสัยในการที่จะหลบหนีหรือเลี่ยงตอบคำถามของพวกเรา เพียงแต่ว่าสิ่งที่อยากที่จะให้สื่อออกไปสู่สาธารณะก็คือเนื้อหาสาระที่ทางรัฐบาลและทางศูนย์ตั้งใจที่จะออกไป มากกว่าประเด็นการเมือง เพราะฉะนั้นก็ถือโอกาสตรงนี้ขออภัยอีกครั้ง

รัฐบาล เผยหลักเกณฑ์เยียวยาความเสียหายด้านปศุสัตว์
วันที่ 28 พ.ย. นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเดินหน้าเร่งให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ในพื้นที่สถานการณ์อุทกภัย 9 จังหวัดภาคใต้ ตามข้อสั่งการของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมหน่วยงานในสังกัดบูรณาการความร่วมมือลงพื้นที่เร่งช่วยเหลือบรรเทาความเดือนร้อนของพี่น้องประชาชน พร้อมสั่งการให้เร่งเยียวยาความเสียหายด้านปศุสัตว์ โดยให้สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดและสำนักงานปศุสัตว์อำเภอเร่งสำรวจความเสียหายทันทีที่น้ำลดเพื่อจ่ายเงินชดเชยแก่เกษตรกรผู้เสียหาย
สำหรับหลักเกณฑ์การเยียวยาความเสียหายด้านปศุสัตว์ ได้กำหนดตามประเภทสัตว์เลี้ยงและจำแนกตามช่วงอายุและจำนวนสูงสุดที่ให้ความช่วยเหลือต่อรายดังนี้
1. โค อายุน้อยกว่า 6 เดือน อัตราตัวละไม่เกิน 13,000 บาท อายุ 6 เดือนถึง 1ปี อัตราตัวละไม่เกิน 22,000 บาท อายุ 1-2 ปี อัตราตัวละไม่เกิน 29,000 บาท อายุ 2 ปีขึ้นไป อัตราตัวละไม่เกิน 35,000 บาท ช่วยเหลือไม่เกิน รายละ 5 ตัว
2. กระบือ อายุน้อยกว่า 6 เดือน อัตราตัวละไม่เกิน 15,000 บาท อายุ 6 เดือนถึง 1 ปี อัตราตัวละไม่เกิน 24,000 บาท อายุ 1-2 ปี อัตราตัวละไม่เกิน 32,000 บาท อายุ 2 ปีขึ้นไป อัตราตัวละไม่เกิน 39,000 บาท ช่วยเหลือไม่เกิน รายละ 5 ตัว
3. สุกร อายุ 1-30 วัน อัตราตัวละไม่เกิน 1,500 บาท อายุ 30 วันขึ้นไป อัตราตัวละไม่เกิน 3,000 บาท ช่วยเหลือไม่เกิน รายละ 10 ตัว
4. แพะ/แกะ อายุ 1-30 วัน อัตราตัวละไม่เกิน 1,500 บาท อายุ 30 วันขึ้นไป อัตราตัวละไม่เกิน 3,000 บาท ช่วยเหลือไม่เกิน รายละ 10 ตัว
5. ไก่พื้นเมือง/ไก่งวง อายุ 1-21 วัน อัตราตัวละไม่เกิน 30 บาท อายุ 21 วันขึ้นไป อัตราตัวละไม่เกิน 80 บาท ช่วยเหลือไม่เกิน รายละ 300 ตัว
6. ไก่ไข่ อายุ 1-21 วัน อัตราตัวละไม่เกิน 30 บาท อายุ 21 วันขึ้นไป อัตราตัวละไม่เกิน 100 บาท ช่วยเหลือไม่เกิน รายละ 1,000 ตัว
7. ไก่เนื้อ อายุ 1-21 วัน อัตราตัวละไม่เกิน 20 บาท อายุ 21 วันขึ้นไป อัตราตัวละไม่เกิน 50 บาท ช่วยเหลือไม่เกิน รายละ 1,000 ตัว
8. เป็ดไข่ อายุ 1-21 วัน อัตราตัวละไม่เกิน 30 บาท อายุ 21 วันขึ้นไป อัตราตัวละไม่เกิน 100 บาท ช่วยเหลือไม่เกิน รายละ 1,000 ตัว
9. เป็ดเนื้อ/เป็ดเทศ อายุ 1-21 วัน อัตราตัวละไม่เกิน 30 บาท อายุ 21 วันขึ้นไป อัตราตัวละไม่เกิน 80 บาท
ช่วยเหลือไม่เกิน รายละ 1,000 ตัว
10. นกกระทา อายุ 1-21 วัน อัตราตัวละไม่เกิน 10 บาท อายุ 21 วันขึ้นไป อัตราตัวละไม่เกิน 30 บาท ช่วยเหลือไม่เกิน รายละ 1,000 ตัว
11. นกกระจอกเทศ อัตราตัวละไม่เกิน 2,000 บาท ช่วยเหลือไม่เกิน รายละ 10 ตัว
12. ห่าน อัตราตัวละไม่เกิน 100 บาท ช่วยเหลือไม่เกิน รายละ 300 ตัว
13. แปลงหญ้าเลี้ยงสัตว์ อัตรา 1,980 บาท/ไร่ ช่วยเหลือไม่เกิน รายละ 30 ไร่
“จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นของกรมปศุสัตว์ พบสัตว์ตายและสูญหาย 78,721 ตัว ใน 8 จังหวัด ได้แก่ พัทลุง ตรัง นครศรีธรรมราช ปัตตานี สตูล สุราษฎร์ธานี นราธิวาส และสงขลา โดยในจำนวนนี้เป็นโค-กระบือ 1,439 ตัว สุกร 8 ตัว แพะ 98 ตัว แกะ 21 ตัว และสัตว์ปีก 77,155 ตัว รัฐบาล โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย สำหรับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบสามารถแจ้งความประสงค์ขอรับความช่วยเหลือได้ที่สำนักงานปศุสัตว์อำเภอ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัด หรือผ่านแอปพลิเคชัน DLD 4.0 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง” นางสาวอัยรินทร์ กล่าว




