
วันที่ 3 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 459/2568
เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการถอดบทเรียนและเตรียมความพร้อมรับมือมหาอุทกภัย
ทั้งนี้ โดยในปี 2554 ได้เกิดมหาอุทกภัยขึ้นในภาคกลาง และในปีนี้เกิดมหาอุทกภัยขึ้นที่จังหวัดสงขลา และเกิดอุทกภัยขึ้นในภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก และมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเกิดเหตุดังกล่าวขึ้นอีกในอนาคต สมควรที่จะถอดบทเรียนเพื่อหาทางป้องกันมิให้เกิดความเสียหายมากอย่างในอดีต รวมทั้งวางแผนและมาตรการให้ความช่วยเหลือ แก้ไข เยียวยา และฟื้นฟูผู้ประสบภัยหากมีเหตุทำนองดังกล่าวเกิดขึ้น ด้วยความรวดเร็ว และโดยได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย
อาศัยอำนาจตามมาตรา 11(6) แห่งพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินพ.ศ.2534 นายกฯ จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการถอดบทเรียนและเตรียมความพร้อมรับมือมหาอุทกภัยขึ้น โดยมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
1.นายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
2.รองนายกรัฐมนตรีทุกคน รองประธานกรรมการ
ขณะที่กรรมการ ประกอบด้วย 3.ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี 4.ปลัดกระทรวงกลาโหม 5.ปลัดกระทรวงการคลัง 6.ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 7.ปลัดกระทรวงมหาดไทย 8.ปลัดกระทรวงสาธารณสุข
9.ผู้บัญชาการทหารสูงสุด 10.เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ 11.เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ 12.อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 13.อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง 14.อธิบดีกรมชลประทาน 15.อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา 16.อธิบดีกรมทางหลวง 17.อธิบดีกรมเจ้าท่า
18.ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ และภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)
19.ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา 20.อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 21.นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา 22.นายกเทศมนตรีเทศบาลนครหาดใหญ่ 23.เลขาธิการมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ 24.ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา 25.นายเสรี ศุภราทิตย์
26.นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา 27.นายแก้วสรร อติโพธิ 28.นายดุสิต เครืองาม
29.นายอนุชิต อนุชิตานุกูล 30.นายพณชิต กิตติปัญญางาม 31.รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมอบหมายและเลขานุการร่วม 32.รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ที่อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมอบหมายและเลขานุการร่วม
และ 33.เจ้าหน้าที่ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ช่วยเลขานุการ ที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมอบหมายจำนวนไม่เกิน 2 คน
ให้คณะกรรมการมีหน้าที่และอำนาจ ดังนี้
1.ศึกษาและถอดบทเรียนจากมหาอุทกภัยที่จ.สงขลาโดยเฉพาะที่อ.หาดใหญ่
รวมทั้งมหาอุทกภัยปี 2554 เพื่อเสนอแนวทางป้องกันมิให้เกิดความเสียหายใหญ่จากอุทกภัยในอนาคตซึ่งรวมถึงแนวทางในการจัดทำ
(1.1) ระบบเตือนภัย ป้องกันภัย ศูนย์อพยพ ยานพาหนะ เครื่องมือเครื่องใช้ภัย
คลังอาหาร เวชภัณฑ์สำรอง และสิ่งจำเป็นอื่น
(1.2) ระบบสาธารณูปโภคที่พร้อมรับมืออุทกภัย ทั้งไฟฟ้า ประปา การโทรคมนาคม
(1.3) ระบบสาธารณสุขและโรงพยาบาลให้พร้อมรับมืออุทกภัย
(1.4) คู่มือประชาชนเพื่อรับมืออุทกภัย และจัดฝึกซ้อมจริงอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
(1.5) คู่มือเจ้าหน้าที่ในการบรรเทาอุทกภัย และตั้งศูนย์บัญชาการการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยที่มีเอกภาพ
2.ศึกษาการดำเนินการของประเทศที่มีความพร้อมในการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยหรือภัยธรรมชาติอื่น และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอความร่วมมือให้มาช่วยสร้างระบบป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่มีประสิทธิภาพ
3.นำรายงานผลการศึกษาและข้อเสนอต่าง ๆ ไปรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง
4.แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือบุคคล ให้ดำเนินการตามที่คณะกรรมการมอบหมายหรือให้ดำเนินการแทนคณะกรรมการแล้วรายงานให้คณะกรรมการทราบ
5.ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมายในกรณีที่กรรมการคนใดพ้นจากตำแหน่งเพราะตาย หรือลาออกให้คณะกรรมการเท่าที่มีอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้
ให้คณะกรรมการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือนนับแต่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับและเสนอรายงานให้คณะรัฐมนตรี(ครม.)ให้ความเห็นชอบเพื่อถือปฏิบัติต่อไป เมื่อครม.ให้ความเห็นชอบรายงานของคณะกรรมการแล้ว ให้คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ นำรายงานผลการศึกษาและข้อเสนอแนะดังกล่าวไปพิจารณากำหนดไว้ในแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติด้วย และให้ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการเผยแพร่ผล
การศึกษาและถอดบทเรียนจากมหาอุทกภัยให้ประชาชนทั่วไปรับทราบโดยไม่ชักช้า
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2568
ผู้สื่อจ่าวรายงานว่า วันที่ 4 ธ.ค.นายกฯจะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการถอดบทเรียนและเตรียมความพร้อมรับมือมหาอุทกภัย ครั้งแรก ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาลเวลา 10.00 น.



“สันติ” สั่ง สคบ. บรรเทาความเดือนร้อนชาวใต้ประสบอุทกภัย
วันที่ 3 ธ.ค. นายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ จึงมอบนโยบายให้นายณรงค์ พูลพิพัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) หารือกับผู้ประกอบธุรกิจต่างๆ โดยกำหนดมาตรการช่วยเหลือ ดังนี้
มาตรการที่ 1. ช่วยเหลือผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ผ่าน Shopee โดยได้รับการยกเว้นค่าบริการส่งสินค้า สำหรับผู้ซื้อสินค้าและจัดส่งสินค้าไปยังอำเภอหาดใหญ่ตลอดเดือนธันวาคม 2568 และยังอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับลดราคา สินค้าหลายรายการ เช่น อุปกรณ์ซ่อมบ้าน ตกแต่งบ้าน เสื้อผ้าและชุดชั้นใน
นายสันติ กล่าวว่า มาตรการที่ 2. สคบ. ร่วมกับ นายกสมาคมอู่กลางการประกันภัย(นายศุภกร ลีภัทรวรกุล) กำหนดมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนกรณีรถยนต์ได้รับความเสียหายจากเหตุภัยพิบัติน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็น การประเมินราคาค่าซ่อมฟรี และ การให้ส่วนลดราคาอะไหล่ให้พิเศษ รวมถึงการเพิ่มมาตรการให้เข้มข้นขึ้น ได้แก่ มีส่วนลดค่าแรงในการซ่อม เพิ่มระยะเวลารับประกันคุณภาพงานซ่อม การรับประกันอะไหล่ที่เปลี่ยน
นายสันติ กล่าวว่า มาตรการที่ 3. ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ให้ความช่วยเหลือ ประกอบด้วย ประการแรกพักชำระหนี้สูงสุด 6 เดือน เนื่องจากผู้ประสบภัยต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ฟื้นฟูธุรกิจและจัดการค่าใช้จ่ายเร่งด่วน การพักชำระหนี้จะช่วยลดภาระได้ทันทีและเพิ่มสภาพคล่องในช่วงวิกฤติ ประการที่สองมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้ตามความสามารถ โดยการปรับลดค่างวด และยืดระยะเวลาการผ่อนชำระ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการผิดนัดชำระและสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
นายสันติ กล่าวว่า มาตรการที่ 4. ช่วยเหลือผู้โดยสารสายการบิน ซึ่ง สคบ. ร่วมกับ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และบริษัทสายการ บินและ OTA จำนวน 10 หน่วยงาน (บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), สายการบินบางกอกแอร์เวย์, บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด, บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ไลอ้อน เมนทารี จำกัด, บริษัท ไทย เวียตเจ็ท แอร์ จอยท์ สต๊อค จำกัด, บริษัท แอร์เอเชีย ซูเปอร์แอพ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท อโกดา เซอร์วิสเซส จำกัด, และ บริษัท ทีวีแอลเค เซอร์วิสเซส จำกัด) ช่วยเหลือผู้บริโภคที่ใช้บริการสายการบิน สรุปดังนี้ มาตรการระยะเร่งด่วน อาทิ การขยายระยะเวลาการใช้ตั๋วสายการบินให้นานขึ้น 30-90 วันขึ้นกับแต่ละ สายการบิน การเปลี่ยนเส้นทางได้ทั้งหมดในจังหวัดภาคใต้ การเปลี่ยนแปลงเที่ยวบิน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เป็นต้น
และในระยะยาว สคบ. กับ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ตกลงที่จะร่วมจัดทำหลักเกณฑ์ควบคุมราคาของ Online Travel agency OTA โดยจะร่วมสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทาง อิเลคทรอนิกส์ (EDTA) ซึ่งจะใช้อำนาจของกฎหมายภายใต้ EDTA 3
นายสันติ กล่าวว่า นอกจากนี้ สคบ.ขอความร่วมมือผู้ประกอบธุรกิจปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก และประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา โดย สคบ. ร่วมกับส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น และศูนย์ดำรงธรรม ลงพื้นที่พบผู้ประกอบธุรกิจ ดังต่อไปนี้
1. กำชับและขอความร่วมมือผู้ประกอบธุรกิจการขายรถยนต์ใช้แล้ว(เต้นท์ขายรถยนต์มือสอง) ให้ระบุประวัติของรถยนต์ตามความเป็นจริง ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการขายรถยนต์ใช้แล้วที่ระบุประวัติไม่ตรงกับความเป็นจริง โดยเฉพาะ รถยนต์ที่เสียหายจากน้ำท่วม ตามกฎหมายว่าด้วยฉลากและกฎหมายว่าด้วยสัญญา
2.กำชับและขอความร่วมมืออู่ซ่อมรถยนต์ ให้มีการออกหลักฐานการรับเงินส่งมอบให้กับผู้บริโภค พร้อมระบุรายละเอียดให้ครบถ้วน โดยเฉพาะรายการที่ทำการซ่อม ยี่ห้อ สภาพ ราคาอะไหล่ที่เปลี่ยน ราคาค่าบริการ และ การรับประกันคุณภาพงานซ่อม
3.ภายหลังจากเหตุการณ์อุทกภัยจะมีการซ่อมแซมอาคาร บ้านเรือน ที่วัสดุก่อสร้างสามารถติดตั้ง ได้อย่างรวดเร็ว และต้นทุนต่ำ คือ แผ่นเหล็กเคลือบสี (Metal sheets) ที่ใช้ทำหลังคาและผนัง สคบ.จึงลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบฉลากกำกับ “แผ่นเหล็กเคลือบสี” ว่ามีการระบุประเภท ชนิดและคุณภาพตรงตามที่ระบุในฉลากเพื่อประโยชน์ต่อผู้บริโภคที่จะได้รับรู้ข้อมูลที่เป็นจริง
“เรื่องนี้มีการศึกษามานาน มีการหารือกับหลายฝ่ายและส่วนใหญ่ยอมรับได้กับการจัดเก็บภาษีแบบ 1 Tier แต่จะต้องดูแลเรื่องผลกระทบกับคนที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันมองว่าการจัดเก็บภาษีบุหรี่แบบ 1 Tier นั้น จะเข้าทฤษฎีเรื่องดีมานต์และซัพพลายที่เสรีมากกว่าแบบ 2 Tier คือมีความเสรีและอิสระในการตั้งราคามากขึ้น และจะช่วยทำให้มีความหลากหลายในเรื่องของแบรนด์มากขึ้น ดังนั้นในอีกมุมหนึ่งผู้ประกอบการอาจไม่ต้องมาแข่งขันกันเรื่องราคาก็ได้ ส่วนที่ผ่านมาที่ใช้การจัดเก็บแบบ 2 Tier นั้น ต้องยอมรับว่าภาษีที่จัดเก็บได้ส่วนใหญ่มาจาก Tier ล่างเป็นหลัก และเชื่อว่าแม้จะมีการปรับมาใช้แบบ 1 Tier ก็ไม่น่ามีผลกระทบกับอุตสาหกรรมมากนัก เพราะระยะเวลาที่ผ่านมาผู้ประกอบการมีการปรับและเปลี่ยนตัวเองกันเยอะอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องภาษี 1 Tire จึงไม่น่าผลทำให้ราคาบุหรี่ในตลาดเปลี่ยนมากนัก ขณะเดียวกันภายใต้สมมุติฐานทั้งหมดก็คาดว่าจะช่วยทำให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีในส่วนนี้เพิ่มขึ้นด้วย” อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าว
สำหรับกรณีที่มีการมองว่าอัตราภาษีบุหรี่แบบ 2 Tier นั้นเป็นการบิดเบือนราคาขายปลีกในตลาดหรือไม่ นายพรชัย ระบุว่า ไม่อยากพูดว่าเป็นการบิดเบือนราคาตลาด แต่ต้องยอมรับว่าเมื่อมีการจัดเก็บภาษีแบบ 2 Tier แน่นอนว่าผู้ประกอบการเกือบทุกรายก็จะวิ่งไปสู่ Tier ที่ต่ำกว่า ดังนั้นที่ผ่านมาจึงอาจเห็นในอุตสาหกรรมบุหรี่ทุกคนวิ่งไปเกาะที่ราคาขายปลีก 70-72 บาทเป็นหลัก แต่ทั้งหมดถือเป็นโครงสร้างที่ภาคอุตสาหกรรมจะต้องหาจุดสมดุลที่เหมาะสมกับตัวเอง ดังนั้นมองว่า เมื่อเอาเส้นเรื่องอัตราภาษี 2 Tier ออก ก็จะช่วยทำให้ตลาดมีความเสรีในการแข่งขันผ่านการตั้งราคามากขึ้น และสุดท้ายจะอยู่ที่ความต้องการของผู้บริโภคที่จะเลือกบริโภคบุหรี่ที่ระดับราคาแบบใด ซึ่งตรงนี้ผู้ประกอบการก็อาจจะต้องไปแข่งขันกันต่อในเรื่องของคุณภาพ ประเภทใบยา เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ในส่วนของมาตรการควบคู่กับการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่นั้น กรมสรรพสามิตจะเร่งเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามสินค้าลักลอบผิดกฎหมาย โดยจากการยกระดับการทำงานทำให้พบว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ผลการปราบปรามสินค้าลักลอบผิดกฎหมายเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะบุหรี่ ซึ่งจับได้เกือบ 4 พันคดี ของกลางกว่า 7 แสนซอง ทั้งนี้กรมสรรพสามิตจะเพิ่มความเข้มข้นในส่วนนี้เพื่อปราบปรามให้บุหรี่เถื่อนหายไปจากประเทศไทย

เอกอัครราชทูตจีนฯ มอบเงินบริจาคเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้
วันที่ 3 ธันวาคม ที่ตึกสันติไมตรีหลังใน ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รับมอบเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยภาคใต้ จากนายจาง เจี้ยนเว่ย์ (H.E. Mr. Zhang Jianwei) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย นายสมัย กวักเพฑูรย์ ประธานคณะกรรมการโรงพยาบาลเทียนฟ้ามูลนิธิ สมาคมไทย–จีนในประเทศไทย ตลอดจนผู้แทนจากองค์กรและบริษัทจีนในประเทศไทย โดยมีนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และนางชนิดา เกษมศุข รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร ร่วมในพิธี
โดยเอกอัครราชทูตจีน แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมระบุว่าความช่วยเหลือครั้งนี้สะท้อนถึงความเป็นหุ้นส่วนที่ใกล้ชิดระหว่างไทย–จีน ดุจญาติพี่น้องและมิตรสหายที่ยืนหยัดเคียงข้างกันมาโดยตลอด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้จีนได้ให้ความช่วยเหลือมูลค่ารวมกว่า 30 ล้านบาทแล้ว และในวันนี้ เอกอัครราชทูตจีน พร้อมคณะจากสมาคมไทย–จีน องค์กร และบริษัทจีนในประเทศไทย ได้ร่วมมอบเงินบริจาคเพิ่มเติมกว่า 32 ล้านบาท อีกทั้ง คณะกรรมการโรงพยาบาลเทียนฟ้ามูลนิธิได้ร่วมมอบเงินบริจาคเพิ่มเติมอีก 5 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตจีน ได้กล่าวถึงการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งได้สร้างมิตรภาพระหว่างสองประเทศครั้งใหม่ และไทย-จีน กำลังเข้าสู่โอกาสใหม่ในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันในทุกมิติ และสร้างความผาสุขให้กับประชาชนของทั้งสองประเทศ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตจีน ผู้แทนสมาคมชาวจีน และองค์กรจีนต่าง ๆ ในนามรัฐบาลและประชาชนชาวไทย สำหรับน้ำใจและการสนับสนุนที่ส่งมอบให้ผู้ประสบภัย ซึ่งสะท้อนความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและมิตรภาพอันยั่งยืนระหว่างไทย–จีน ดั่งคำกล่าวที่ว่า “จีน–ไทย ใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” พร้อมย้ำว่ารัฐบาลจะเร่งเยียวยาประชาชนและฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว โดยเฉพาะกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การค้า และธุรกิจในพื้นที่ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของเศรษฐกิจท้องถิ่น
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตจีนฯ พร้อมผู้แทนองค์กรจีนต่าง ๆ อีกครั้ง พร้อมยืนยันว่าความช่วยเหลือทั้งหมดจะถูกนำไปใช้เพื่อฟื้นฟูคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของประชาชนอย่างรวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรม และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องผู้ประสบภัย

“สิริพงศ์” ขออภัยลงทะเบียนรับเงินเยียวยาน้ำท่วมมีปัญหา
วันที่ 3 ธ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัยส่วนหน้า (ศป.กฉ.) แถลงผลการประชุม ศป.กฉ. ว่า กรณีเรื่องเงินอุดหนุนเยียวยาต้องขออภัยในความไม่สะดวกในการลงทะเบียน เนื่องจากในครั้งนี้รัฐบาลมีความต้องการที่จะให้เงินไปถึงมือพี่น้องประชาชนในระยะเวลาอันรวดเร็วที่สุด เพราะเป็นความจำเป็น เนื่องจากประชาชนเพิ่งผ่านเหตุร้ายมา จำเป็นที่จะต้องมาฟื้นฟูกลับสู่สภาวะปกติให้ได้โดยเร็วที่สุด รัฐบาลจึงได้มีแนวทางในการเร่งดำเนินการ อย่างไรก็ดี เมื่อมีนโยบายไปแล้วแต่ในส่วนของการปฏิบัติยังเกิดความติดขัด ขัดข้องอยู่ในหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระเบียบข้อบังคับต่างๆ ที่อาจจะทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย
นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ดังนั้น เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ในที่ประชุม ครม.จึงมีมติยกเว้นในบางกรณี เช่น การทำประชาคมในพื้นที่ จ.สงขลา จึงขอให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ได้ทราบเป็นแนวทางปฏิบัติ นอกจากนี้ ทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้มีระเบียบชี้แจงไปแล้วว่า การรวบรวมข้อมูลในครั้งนี้ไม่จำเป็นจะต้องใช้เอกสาร แต่สามารถใช้เลขบัตรประชาชนเท่านั้นก็เพียงพอ แต่หากการดำเนินการยังเกิดความติดขัดล่าช้าก็ต้องขออภัย ซึ่งประธาน ศป.กฉ.ได้ให้ ปภ.พิจารณาขยายเวลาการลงทะเบียนสำหรับผู้ประสบภัยที่จะรับเงินเยียวยา โดยให้ขยายเวลาออกไปจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.68 ซึ่งยังมีเวลาในการดำเนินการพอสมควร และต้องขออภัยเรื่องเว็บไซต์ของ ปภ. ที่จะใช้ลงทะเบียนซึ่งขณะนี้ยังล่มอยู่ โดยประธาน ศป.กฉ.ได้กำชับและให้เร่งแก้ไขโดยเร็ว โดยจะสามารถกลับมาใช้ได้ภายในวันนี้
โฆษก ศป.กฉ. กล่าวว่า นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังให้หน่วยงานที่ดูแลสาธารณูปโภค ต่างๆ เช่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ได้อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนให้วันนี้จ่ายไฟและน้ำได้ 100% แต่ทั้งนี้ ยังมีความกังวลเรื่องบิลค่าน้ำ ค่าไฟ ที่ประธาน ศป.กฉ.กำชับว่าอย่าให้เห็น ซึ่งมีคำถามว่าการไม่ส่งบิลจะถือเป็นการชะลอหรือเป็นการยกเว้น โดยในสัปดาห์หน้า กปภ. และ กฟภ. จะเสนอเรื่องเข้ามาในที่ประชุม ครม.เพื่อขอยกเว้นค่าน้ำ ค่าไฟ ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่เป็นเวลา 3 เดือน 3 รอบบิล คือ ในเดือน พ.ย.68 – ม.ค.69 ส่วนในบางพื้นที่ก็จะมีการยกเว้นในการเก็บอีกเป็นเวลา 2 รอบบิล ซึ่งหลังจากที่เข้าที่ประชุม ครม. แล้ว ผลการดำเนินการเป็นอย่างไรจะแจ้งให้ทราบในวาระถัดไป
โฆษก ศป.กฉ. กล่าวว่า ในเรื่องความสะอาด เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ครม.มีมติอนุมัติเงิน 530 ล้านบาท ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ไปใช้ในการดำเนินการเกี่ยวกับการทำความสะอาด ซึ่งสามารถทำได้ในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างภาคเอกชนที่เป็นลักษณะของการจ้างเหมาบริการ เพื่อให้การทำความสะอาดเป็นไปได้ตามไทม์ไลน์ที่นายกฯกำหนดเอาไว้ 7 วัน ประชาชนต้องเข้าอยู่ได้ และ14 วัน อ.หาดใหญ่ต้องสะอาด ซึ่งวันนี้ยังได้รับการยืนยันว่ายังเป็นไปตามไทม์ไลน์อยู่ ส่วนประเด็นที่มีข้อสงสัยเรื่องเกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนาของทางอิสลามนั้น ทาง ศป.กฉ.ส่วนหน้าได้แจ้งกับผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งแต่ละจังหวัดจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาสาเหตุการเสียชีวิตในกรณีที่มีการดำเนินพิธีกรรมทางศาสนาไปก่อนที่จะส่งรายชื่อผู้เสียชีวิตให้กับทางโรงพยาบาล ซึ่งจะไม่มีวิธีที่จะนำร่างขึ้นมาตรวจใหม่ แต่ใช้วิธีให้มีกระบวนการยืนยันจากส่วนที่เกี่ยวข้องในชุมชน

“อนุทิน” เผยบอก “ชาดา” ให้ใจเย็นๆ หลังไล่นายกฯ แป้น ลาออก
วันที่ 3 ธ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี และแกนนำพรรคภูมิใจไทย บอกให้ นายณรงค์พร ณ พัทลุง หรือนายกฯแป้น นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ ลาออกหลังเสร็จงานสถานการณ์น้ำท่วมอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาว่า ตนได้บอกให้
นายชาดา ใจเย็นๆ ซึ่งนายชาดาอยู่ในพื้นที่หลายวัน อาจจะมีอินเนอร์ ก็ไม่เป็นไร เพราะบางครั้งการทำงานหรือทำอะไรถ้าทุกคนมีเจตนาดี ตนก็มักจะปล่อยให้ระบาย พอระบายเสร็จก็จบ เห็นใจกันและแสวงหาความร่วมมือ
ผู้สื่อข่าวถามถึง กรณีศพผู้เสียชีวิตนอกพื้นที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน จะได้เงินเยียวยา 2 ล้านบาทด้วยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ได้ตอบไปชัดเจนแล้ว
เมื่อถามว่า ศพของผู้นับถือศาสนาอิสลามที่ได้นำไปฝังตามพิธีกรรมทางศาสนาก่อนหน้านี้ จะดำเนินการอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า ได้มีการชันสูตร และยึดผลชันสูตรของแพทย์
เมื่อถามถึง ความชัดเจนตัวเลขของผู้เสียชีวิตจะมีความชัดเจนหรือไม่ เพราะบางฝ่ายออกมาระบุว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตอาจถึงหลักพันราย นายอนุทิน กล่าวว่า ตนเชื่อแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สถาบันนิติเวช รัฐบาลต้องเชื่อหน่วยงานของทางราชการ ส่วนความเห็นก็ปล่อยให้ทุกคนระบายออกมา เวลาใครระบายออกมาก็ดี จะได้ไปตรวจสอบว่ามีอะไรตกค้างตกหล่นหรือไม่ เพราะก็ดูแล้วไม่ได้มีอะไรเป็นนัยสำคัญ ก็ต้องยึดผลทางการแพทย์เป็นหลัก และเราทำอย่างเปิดเผยอยู่แล้ว คนที่เสียชีวิตทุกคนมีญาติ มีครอบครัว ถ้าใครหายไปโดยที่ไม่ได้รับการแจ้ง หรือคิดว่าเอาไปซ่อนก็ไม่ทราบว่าจะไปซ่อนที่ไหน และไม่มีความจำเป็นต้องซ่อน และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปทำอะไรที่ปิดบังประชาชน เรื่องนี้เป็นภัยธรรมชาติมีอะไรก็ต้องเปิดเผย ให้ได้รับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะต่างๆ ซึ่งตนรับฟังทั้งหมด อันไหนดีก็เอาไปสอบถามและปฏิบัติ หรือเอาไปรวมเป็นความร่วมมือเพิ่มขึ้น




