นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เปิดเผยว่า แผนการเปิดโครงการแนวราบในเดือนพฤศจิกายนนี้ จำนวน 2 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 3,100 ล้านบาท ตอบสนองความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์กลุ่มเรียลดีมานด์ หลังจากภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ทยอยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยจะขยายการลงทุนพัฒนาโครงการในทำเลที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เพื่อสร้างแบรนด์ “บริทาเนีย” ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
แผนเปิดพรีเซลโครงการใหม่ในเดือนพฤศจิกายน 2565 จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการบริทาเนีย ระยอง จำนวน 222 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 4.49 – 8 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท เตรียมเปิดพรีเซลวันที่
19 – 20 พฤศจิกายน 2565 จุดเด่นโครงการพัฒนาภายใต้แนวคิด Live Beyond Boundaries ให้ลูกค้าได้ใช้ชีวิตอย่างไร้ข้อจำกัด สัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ออกแบบมาให้สะท้อนความเป็นตัวตนอย่างภาคภูมิ มีสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลาย อาทิ คลับเฮาส์, ฟิตเนส, พื้นที่ Co-Working Area, คิดส์รูม ฟิตเนสกลางแจ้ง ฯลฯ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย โครงการตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ เข้า-ออกเมืองเพียงแค่ 10 นาที รวมถึงศักยภาพทำเลที่ตั้งอยู่ในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
และ 2) โครงการแกรนด์ บริทาเนีย บางนา กม.35 จำนวน 394 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 5.79 – 12 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท เตรียมเปิดพรีเซลวันที่ 26-27 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งมีการพัฒนาโครงการภายใต้แนวคิด “Embracing a life you love with nature” หรือ “โอบล้อมชีวิตด้วยธรรมชาติสีเขียว เพื่อชีวิตในแบบที่คุณรัก” เน้นพื้นที่สีเขียวเพื่อการพักผ่อนภายในโครงการถึง 3 จุด อัดแน่นฟังก์ชันภายในบ้านเพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยนวัตกรรมที่อยู่อาศัยทุกมุมและนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงคลับเฮาส์ที่รองรับกิจกรรมของลูกบ้านหลากหลายเจเนอเรชั่น บนทำเลใกล้กับนิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ เชื่อมต่อการเดินทางด้วยทางพิเศษสายบูรพาวิถี (บางนา – ชลบุรี)
ทั้งนี้ การวางแผนขยายการพัฒนาโครงการบ้านแนวราบ 2 โครงการ คือ โครงการบริทาเนีย ระยอง และ โครงการแกรนด์ บริทาเนีย บางนา กม.35 เนื่องจากเห็นถึงศักยภาพการเติบโตของแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีความเชื่อมั่นว่า
แต่ละโครงการที่เปิดพรีเซลในเดือนพฤศจิกายนนี้ ล้วนแต่เป็นโครงการที่มีศักยภาพมีปัจจัยส่งเสริมการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีอัตราการขยายตัวของประชากรที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเมือง จึงทำให้เป็นโอกาสของความต้องการที่อยู่อาศัยในระดับที่สูง
