วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงในต่างประเทศที่น่าจะเริ่มในไตรมาส 2 ปีหน้า

Date:

นายแพททริก ปูเลีย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดการเงินในปีหน้าจะยังมีความท้าทายอยู่มาก โดยธนาคารกลางหลักจะทยอยปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงทำให้ตลาดการเงินโลกอาจผันผวนขึ้นอีก นายแพททริกประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) น่าจะลดดอกเบี้ยนโยบายได้ 4-5 ครั้งในปีหน้า และการลดดอกเบี้ยครั้งแรกจะมีขึ้นอย่างเร็วในไตรมาสที่ 2 นอกจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง ตลาดแรงงานที่อ่อนแอ อีกทั้งราคาน้ำมันที่น่าจะอยู่ในระดับต่ำต่อไป ทำให้มองว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Treasury yields) มีแนวโน้มลดลงต่อในปีหน้า โดย Treasury yields อายุ 2 ปี มีแนวโน้มอยู่ที่ 3.50-3.70% ณ สิ้นปี 2024 ส่วน Treasury yields อายุ 10 ปี มีแนวโน้มอยู่ที่ 3.70-3.90% ทั้งนี้ ในระยะสั้นนี้ มีโอกาสที่ Yields อาจปรับสูงขึ้นได้บ้าง เนื่องจากมองว่าตลาดประเมินการลดดอกเบี้ยของ Fed ที่ราว 6 ครั้งมากและเร็วเกินไป จึงอาจเห็น Correction ราว 20-30 bps ได้

ด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้ 4 ครั้ง ในปี 2024 อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้ไม่ติดลบ (จากปัจจุบันอยู่ที่ -0.10%) ในช่วงปลายไตรมาสแรกของปี 2024 ดังนั้น ในปีหน้าจึงอาจเห็นการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโรและเงินเยนเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย นายแพททริกมองว่า Yield อายุ 10 ปี มีแนวโน้มปรับลดลงได้เล็กน้อย มาอยู่ที่ราว 2.60-2.70% ณ สิ้นปี 2024 โดยเป็นการลดลงตาม US Treasury yields นอกจากนี้ ยังคาดว่า Yield curve ของพันธบัตรรัฐบาลไทยมีแนวโน้มลาดชันน้อยลง (Flatten) เนื่องจากมองว่า Yields ระยะสั้น จะทรงตัวตามการคงดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการขยายตัวเศรษฐกิจไทยแล้ว แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะมองว่ามีโอกาสราว 60% ที่ กนง. จะเริ่มลดดอกเบี้ยในไตรมาส 2 ของปี 2024

สำหรับทิศทางค่าเงินบาทปีนี้อ่อนค่าราว 1% เทียบจากต้นปี เป็นผลจากการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed อย่างต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเร็ว อีกทั้ง ภาวะสงครามต่างประเทศและความไม่แน่นอนทางการเมืองและมาตรการภาครัฐของไทย ส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากตลาดเงินไทย อย่างไรก็ดี ในไตรมาส 4  พบว่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นค่อนข้างเร็วราว 5% จากไตรมาสที่ 3 เนื่องจาก ตลาดเริ่มกลับมามองว่า Fed จะลดดอกเบี้ยเร็วในปีหน้า นอกจากนี้ เงินบาทยังได้รับปัจจัยหนุนจากราคาทองที่สูงขึ้น และค่าเงินภูมิภาคที่เริ่มกลับมาแข็งค่า

สำหรับในปี 2024 คาดว่าเงินบาทจะยังมีปัจจัยหนุนทำให้แข็งค่าต่อได้ โดยนอกจากการลดดอกเบี้ยของ Fed ที่จะทำให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงแล้ว เงินบาทจะยังได้รับอานิสงส์จากราคาทองคำที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นอีกเล็กน้อยในปีหน้าจากอัตราดอกเบี้ยโลกที่จะลดลง โดยจากการศึกษาของทีมงานพบว่าราคาทองคำส่งผลต่อค่าเงินบาทมากกว่าสกุลอื่นในภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ Sentiment จากจีนจะทยอยปรับดีขึ้นหากภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมตามที่คาด ประกอบกับส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเทียบกับประเทศเศรษฐกิจหลักที่จะแคบลง ทำให้เงินหยวนมีแนวโน้มแข็งค่า ซึ่งจะส่งผลดีต่อค่าเงินบาทตามไปด้วย สำหรับปัจจัยในประเทศที่จะทำให้เงินบาทแข็งค่าต่อได้คือแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่คาดว่าจะมากขึ้น โดยเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวจาก 2.6% ในปี 2023 เป็น 3.0% ในปี 2024 นอกจากนี้ การส่งออกไทยจะขยายตัวได้ตามการค้าโลก และนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้ามาไทยเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาพลังงานมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยในปีหน้า จึงทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงมองว่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องไปสู่ระดับ 32.00-33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงสิ้นปี 2024

นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส สายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ประเด็นที่ต้องจับตาเป็นพิเศษในปี 2024 คือมาตรการภาครัฐ และความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและครัวเรือนไทย โดยผู้ร่วมตลาดและนักลงทุนยังกังวลว่า มาตรการ Digital wallet อาจส่งผลต่ออุปทานพันธบัตรรัฐบาล และทำให้ต้นทุนการระดมทุนของภาคธุรกิจสูงขึ้นได้ อย่างไรก็ดี ประเมินว่ามาตรการดังกล่าวน่าจะไม่ทำให้ Yields ปรับเพิ่มขึ้นเร็ว เนื่องจากภาครัฐมีเครื่องมือในการกู้ยืมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างหนี้ หรือการกู้ผ่านการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน ทำให้อุปทานพันธบัตรรัฐบาลจะไม่เพิ่มขึ้นมาก สำหรับความกังวลในเรื่อง ความสามารถในการชำระหนี้โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางนั้น มองว่าความเสี่ยงที่จะเกิดการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้เป็นวงกว้างยังมีน้อย ส่วนหนึ่งเพราะอัตราดอกเบี้ยไทยแม้จะปรับขึ้นมาแต่ก็ยังต่ำ ประกอบกับงบดุลของภาคธุรกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งนี้ อาจมีบางกลุ่มธุรกิจที่ปราะบางผิดนัดชำระหนี้ได้ แต่ประเมินว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ลุกลาม

สำหรับเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ไหลออกจากตลาดเงินไทยอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่าน เงินไหลออกจากตลาดพันธบัตรราว 1.5 แสนล้านบาท ทำให้ในขณะนี้ มีสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติคิดเป็น 5.8% ของมูลค่าตลาดพันธบัตรไทยทั้งหมด ซึ่งลดลงจากช่วง pre-Covid ที่ราว 7.4% สำหรับในปี 2024 ช ประเมินว่าเงินทุนเคลื่อนย้ายจะทยอยไหลกลับเข้าตลาดพันธบัตรไทยได้ เนื่องจาก 1) วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงในกลุ่มเศรษฐกิจหลักจะทำให้นักลงทุนเคลื่อนย้ายเงินทุนมายังกลุ่ม EM มากขึ้น 2) ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์โลก (Geopolitical risk) มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากหลาย ๆ ประเทศน่าจะให้น้ำหนักต่อสถานการณ์ในประเทศตนเองมากขึ้น เช่น สหรัฐฯ จะมีการเลือกตั้งช่วงปลายปี ขณะที่จีนก็จะมุ่งเน้นไปที่การใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และ 3) การปรับ Position ของนักลงทุนน่าจะเอื้อให้เงินไหลกลับเข้าไทย โดยในระยะต่อไปที่ความไม่แน่นอนลดลง นักลงทุนน่าจะหันมาถือพันธบัตรรัฐบาลไทยมากขึ้น หลังจากที่ Yields ปรับลดลงไปมากแล้ว

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

ทีดีอาร์ไอ เตือนการเมืองแทรกแซงธปท. 

นักวิชาการทีดีอาร์ไอ เตือนการเมืองแทรกแซงแบงก์ชาติ ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจ กระทบเศรษฐกิจเสียหาย

ผู้ประกันตนยื่นกู้ แห่ขอกู้สินเชื่อบ้าน ธอส.

ธอส. เผยผู้ประกันตน ยื่นขอสินเชื่อกับ ธอส.  ดอกเบี้ยต่ำ วันแรกเป็นจำนวนมาก กว่า 2,000 ราย

บมจ.ไทยวิวัฒน์ โฮลดิ้ง 3Q24 แกร่ง กำไรสุทธิพุ่งแตะ 87 ล้านบาท 

บมจ.ไทยวิวัฒน์ โฮลดิ้ง 3Q24 แกร่ง กำไรสุทธิพุ่งแตะ 87 ล้านบาท ส่งซิกปิดปี 67 เบี้ยรับรวมโตตามเป้า 10% 

บมจ.เบริล 8 พลัส โชว์ผลงานไตรมาส 3 โตต่อเนื่อง

บมจ.เบริล 8 พลัส โชว์ผลงานไตรมาส 3 โตต่อเนื่อง โกยกำไรสุทธิ 44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.8%