นายนิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,693 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 55.6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 1,088 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงานปกติ รวมถึงการบันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัท Star Energy Group Holdings Pte Ltd. (SEGHPL) ในไตรมาส 1/2565 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยหนุนจากการทยอยเปิดดำเนินการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นรวม 65 เมกะวัตต์ ได้แก่ โครงการ ชิบะ 1 กำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์ โครงการโคมากาเนะ กำลังการผลิต 25 เมกะวัตต์ และโครงการยาบูกิ กำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์ ซึ่งทยอยเปิดในเดือนพฤศจิกายน 2564, เดือนมีนาคม 2565 และเดือนเมษายน 2565 ตามลำดับ รวมทั้งรับรู้ผลการดำเนินงานของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ ในประเทศไทยที่ดีขึ้นจากการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของแผงโซลาร์ การเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ชนิดติดตั้งบนหลังคา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU Project) และการปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) รวมถึงผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ “Nam San 3A” และ “Nam San 3B” ใน สปป. ลาว เพิ่มขึ้นจากการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และจากการแข็งค่าของเงินสกุลเหรียญสหรัฐฯ
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 2/2565 มีรายได้รวม 1,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 32 และมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ 549 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ทั้งนี้ ปัจจุบัน BCPG มีกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 1,109 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) เรียบร้อยแล้ว 391 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างพัฒนา 718 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ทั้งหมดภายในปี 2568