นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศ ทำฝันให้เป็นจริง แถลงวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND, AVIATION HUB” เพื่อประกาศถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ผู้บริหารกระทรวงคมนาคม และสื่อมวลชน เข้าร่วมรับฟัง นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกฯ กล่าวแถลงวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND, AVIATION HUB” ตอนหนึ่งว่า รัฐบาลและตนเองเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพ มีความพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะต้องช่วยกันดึงศักยภาพออกมาให้ทั่วโลกได้รับรู้ ทั้งนี้ ก่อนจะดำเนินการทำอะไร ทุกคนต้องยอมรับก่อนว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีปัญหาอะไร ซึ่งถ้าเราไม่ยอมรับปัญหา ก็ไม่สามารถหาทางออกให้กับประเทศไทยได้ ยืนยันไม่ได้ต้องการพูดทำให้ใครรู้สึกไม่ดี แต่วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องพูดคุยความจริงต่อหน้าสาธารณะ
นายกฯ กล่าวต่อไปว่า ก่อนหน้านี้ในปี 2548 สนามบินสุวรรณภูมิเคยอยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก แต่ในปัจจุบันนั้นตกอยู่ในอันดับที่ 68 ของโลก ดังนั้น รัฐบาลจึงมีแผนจะพัฒนาท่าอากาศยานของไทยให้กลับมาติดอันดับ 1 ใน 20 สนามบินที่ดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี เนื่องจากไทยตั้งอยู่ในจุดภูมิศาสตร์กึ่งกลางของเอเชียแปซิฟิก มีพรมแดนติดกับ 3 ประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งยังได้รับสิทธิประโยชน์จากการเปิดบินเสรีการบินอาเซียน โดยการประกาศวิสัยทัศน์ในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ซึ่งกำกับดูแลท่าอากาศยานในความรับผิดชอบ 6 แห่ง ประกอบด้วย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่
สำหรับแผนการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายกฯ กล่าวว่า พื้นที่กว่า 20,000 ไร่นั้น รัฐบาลมีแผนจะขยายขีดความสามารถให้รองรับผู้โดยสารได้ 150 ล้านคนต่อปีภายในปี 2573 ซึ่งขณะนี้ทาง AOT ได้เปิดใช้อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 หรือ SAT-1 สามารถรองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปีภายในระยะเวลา 6 เดือน และในปี 2567 นี้ เตรียมจะเปิดใช้ทางวิ่งเส้นที่ 3 จะต้องทำให้เสร็จภายในเดือนตุลาคม 2567 หรือเร็วกว่านั้น ซึ่งจะสามารถรองรับเที่ยวบินจาก 68 เที่ยวต่อชั่วโมง เป็น 94 เที่ยวต่อชั่วโมง และมีแผนจะก่อสร้างขยายอาคารผู้โดยสารทางทิศตะวันออก – ทิศตะวันตก ให้สามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอีก 30 ล้านคนต่อปี และยังมีแผนจะก่อสร้างอาคารผู้โดยสารทางทิศใต้ ให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นอีก 60 ล้านคนต่อปี รวมถึงมีแผนจะก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 4 รองรับเที่ยวบินได้ถึง 120 เที่ยวบินต่อชั่วโมงอีกด้วย
นายกฯ ย้ำ ขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมือง จะต้องปรับปรุงให้มีความคล่องตัว รวดเร็วมากกว่านี้ และจะต้องแก้ไขปัญหาได้ภายใน 6 เดือน รวมถึงการเปิดเช็คอิน โหลดสัมภาระแบบอัตโนมัติ โดยให้เพิ่มการเปิดเช็คอินและโหลดสัมภาระก่อนเครื่องบินจะขึ้น 6 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ผู้โดยสารสามารถชอปปิ้งได้โดยไม่ต้องกังวล ทั้งนี้ จะมีการเพิ่มเจ้าหน้าที่ให้บริการภาคพื้นดินมากขึ้น โดยมีการคัดเลือกบริษัท มีตัวชี้วัดการทำงานอย่างชัดเจน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ รวมถึงลดระดับบริษัทที่ให้บริการไม่ดี โดยมั่นใจว่า 6 เดือนจากนี้ จะมีการให้บริการ ที่รวดเร็ว สะดวกมากขึ้น รวมไปถึงขั้นตอนการถ่ายสินค้าต้องเชื่อมโยง รวดเร็ว สะดวกขึ้น และเชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวดีขึ้น โดยจะต้องทำให้ก้าวแรกที่ก้าวเข้ามาสู่ประเทศไทยของผู้โดยสารเกิดความประทับใจ
ในส่วนของท่าอากาศยานดอนเมือง นายกฯ กล่าวว่า เป็นสนามบินหลักสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศและเที่ยวบินระหว่างประเทศในภูมิภาค รัฐบาลมีแผนจะเปลี่ยนสนามบินให้เป็นสนามบินแบบ POINT-TO-POINT มีจุดเด่นให้บริการเข้าออกได้เร็วขึ้น ขยายขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารจากเดิม 30 ล้านคน เป็น 50 ล้านคนต่อปีภายในปี 2573 ผ่านการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิม และจะขยายอาคาร 1 และอาคาร 2 เป็นอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ รองรับผู้โดยสารได้ 27 ล้านคนต่อปี และจะสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศใหม่ รองรับผู้โดยสารได้ 23 ล้านคนต่อปี อีกทั้งยังมีแผนจะก่อสร้างอาคาร Junction Building เป็นที่พื้นเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ให้เป็นแหล่งจัดแสดงสินค้าโอทอปและจำหน่ายสินค้าโอทอป และพัฒนาให้เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยว พร้อมทั้งจะยกระดับการให้บริการทุกภาคส่วน เพิ่มพื้นที่จอดรถได้มากถึง 7,600 คัน และจะเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนทางรางรถไฟฟ้าสายสีแดงให้เดินทางเข้าออกเมืองได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงจะพัฒนาศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) ร่วมกับเอกชนอีกด้วย เป็นเมนหลักในการจัดแสดงสินค้าโอทอป ตามนโยบายของรัฐบาล
สำหรับท่าอากาศยานภูเก็ต นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลมีแผนจะสร้างสนามบินภูเก็ตแห่งที่ 2 หรือ ท่าอากาศยานอันดามัน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนภูเก็ต พังงา กระบี่ รวมถึงจังหวัดใกล้เคียง และจะพัฒนาสะพานสารสินเพื่อรองรับจำนวนรถให้ได้มากขึ้น และให้เรือขนาดใหญ่สามารถแล่นผ่านได้เช่นกัน นอกจากนี้สำหรับท่าอากาศยานภูเก็ต รัฐบาลจะพัฒนาส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ และก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบิน รองรับผู้โดยสารจากเดิม 12.5 ล้านคนต่อปี เป็น 18 ล้านคนต่อปีภายในปี 2573 และกำลังอยู่ในช่วงศึกษาโครงการพัฒนา Seaplane & Ferry Terminal พัฒนาพื้นที่อากาศยานขึ้น-ลงในทะเล เพื่อรองรับผู้โดยสารชั้นสูง เชื่อมต่อไปยังเกาะสมุย เกาะช้าง และหัวหิน เป็นต้น ส่วนท่าอากาศยานอันดามันที่มีแผนจะสร้างขึ้นนั้น จะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 40 ล้านคน ตั้งเป็นฮับการบินภาคใต้เชื่อมเส้นทางระยะไกล (Long-haul Flight) ทั้งเที่ยวบินตรงระหว่างประเทศแบบ Point to Point
ในส่วนของท่าอากาศยานเชียงใหม่ นายกฯ ขอเรียกว่าสนามบินล้านนา เพราะรองรับประชาชนจังหวัดใกล้เคียงเชียงใหม่ด้วย รัฐบาลมีแผนจะก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศและปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิม ที่รองรับจำนวนนักท่องเที่ยวจากเดิมได้เพียง 8 ล้านคนต่อปี เป็น 16.5 ล้านคนต่อปีภายในปี 2572 รวมทั้งยังมีแผนจะก่อสร้างสนามบินเชียงใหม่แห่งที่ 2 หรือท่าอากาศยานล้านนา ให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นอีก 20 ล้านคนต่อปี และจะเป็น Homebase ของสายการบิน อย่าง Thai VietJet เป็นต้น ทั้งนี้ ตั้งแต่มีการปลดล็อกให้มีการบินขึ้นลงได้หลังเที่ยงคืน มีนักท่องเที่ยวเดินทางเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศญี่ปุ่น และเกาหลี นอกจากนี้ สนามบินเมืองรองต้องพัฒนาควบคู่ไปด้วยเพื่อรองรับเมืองหลัก ให้เมืองรองกลางเป็นเมืองหลักให้ได้ รวมทั้งการใช้สนามบินร่วมกับกองทัพ ซึ่งปัจจุบันต้องใช้ความมั่นคงควบคู่กับความมั่งคั่งทางด้านเศรษฐกิจ
นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลจะยกระดับสนามบินทั่วประเทศ นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกี่ยวกับระบบบริการผู้โดยสารสมัยใหม่เข้ามาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการให้มีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งจะพัฒนาครัวไทยสู่การเป็นครัวของโลก ผ่านการผลิตอาหารให้กับสายการบินต่าง ๆ ส่งเสริมการใช้ผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพของไทย นำนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตอาหาร ไปจนถึงต่อยอดเมนูอาหารไทยที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติสู่อาหารบนเครื่องบินที่ดีที่สุดในโลก ไม่เพียงเท่านี้ รัฐบาลยังมีแผนจะขยายอุตสาหกรรมการบำรุงรักษาให้กลายเป็นศูนย์กลางการบำรุงรักษาทั้งเครื่องบินพาณิชย์และเครื่องบินส่วนตัว มีระบบคลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิเพื่อกระจายสู่ประชากรกว่า 280 ล้านคนทั้งไทย มาเลเซีย สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม พร้อมทั้งจะต่อยอดความร่วมมือกับสายการบินต่าง ๆ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมโรงแรม และจะร่วมกันพัฒนาสายการบินไทย ปรับปรุงเส้นทางตารางการบินให้เหมาะสม จำนวนและประเภทเครื่องบิน บัตรโดยสารและการบริการ ตลอดจนส่งเสริมบุคลากรให้เพียงพอพร้อมให้บริการ ไปพร้อม ๆ กับสร้างความยั่งยืนผ่านการดึงดูดสายการบินด้วยเชื้อเพลิง SAF และส่งเสริมการผลิตในประเทศ สนับสนุนบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
“เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการบิน จะต้องยกระดับสนามบินสุวรรณภูมิให้ติดอันดับ 1 ใน 50 ของสนามบินที่ดีที่สุดในโลก ภายในระยะเวลา 1 ปี และติดอันดับ 1 ใน 20 ของโลก ภายในระยะเวลา 5 ปี เป็นความฝันที่ต้องการให้เป็นจริง วันนี้ผมขอประกาศว่า เราตื่นจากความฝันแล้ว ขอให้ทุกคนตื่นมาร่วมกันพัฒนาให้ความฝันเป็นจริง ทุกคนมีส่วนร่วมทำฝันให้เป็นจริง ขอให้กำลังใจ ขอให้ทุกคนช่วยดึงศักยภาพ ช่วยกันทำความฝันให้เป็นจริง” นายกฯ ย้ำ