นายเชาวน์กร โชติบัณฑ์ Head of Investment Strategy บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC ( บลจ.เอ็มเอฟซี ) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการกองทุนคุณภาพทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า บลจ.เอ็มเอฟซี มองวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดได้สิ้นสุดลงแล้ว หลังผลการประชุม FOMC เดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งประมาณการอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการเฟด (Dot Plot) ส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ พร้อมทั้งปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ (GDP) ปี 2024 สู่ระดับ 2.1% จากเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ที่ระดับ 1.4%
ด้านตลาดหุ้นทั่วโลกทำ All Time High ตั้งแต่ต้นปี 2024 แต่ยังมองเป็นโอกาสในการลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อพิจารณาจากดัชนี S&P500 มีค่า Maximum Drawdown ไม่ถึง -1.70% เนื่องจากตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นและมีโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง (Risk-On) สอดคล้องกับในอดีตช่วงที่เฟดลดอัตราดอกเบี้ย และเศรษฐกิจเป็นภาพของ Soft Landing จึงแนะนำให้ทยอยลงทุน ไม่ต้องรอตลาดปรับฐาน นอกจากนี้ หากดูจากสถิติตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 หลังจากที่หุ้นสหรัฐฯ ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นทำ All-Time High ใหม่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักปรับตัวขึ้นต่อในระยะเวลา 12 เดือนถัดมา โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10.75% ด้วยความน่าจะเป็นสูงถึง 85.7%
นายเชาวน์กร กล่าวว่า จากมุมมองดังกล่าว บลจ.เอ็มเอฟซี แนะนำกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี โกลบอล โฟกัส หรือ MGF มีนโยบายลงทุนในหุ้นเติบโตคุณภาพดีทั่วโลก (Quality Growth Stock) ซึ่งเป็นกองทุน Feeder Fund ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Threadneedle (Lux) Global Focus Fund ที่เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ มีความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage) ทำให้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาด เนื่องจากหุ้นเติบโตคุณภาพดีมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูง มีกำไรและรายได้เติบโตสม่ำเสมอ
โดยกองทุนหลักจะคัดเลือกหุ้นโดยเน้นหุ้นเติบโตคุณภาพดีที่มาจาก 3 ส่วน Return on capital, Growth potential และ Sustainability ขณะที่พอร์ตการลงทุนมีการกระจายอยู่ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่ม Information Technology สัดส่วน 28.6%, Financials 16.4%, Industrials 15.4% และ Healthcare 12.4% (ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567)
สำหรับพอร์ตการลงทุนของกองทุนหลักจะถือครองหุ้น 30-50 บริษัท (High Conviction) และมีระยะเวลาการถือครองหุ้นเฉลี่ยประมาณ 3-5 ปี โดยตัวอย่างหุ้นในพอร์ต ได้แก่ 1. Microsoft ผู้ผลิตและพัฒนาซอฟต์แวร์รายใหญ่ของโลก เช่น Microsoft 365 และลงทุนในเทคโนโลยี AI กับ Chat GPT และ 2. Mastercard ผู้ให้บริการเครือข่ายชำระเงินผ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรเติมเงิน โดยนำเทคโนโลยีการชำระเงินมาเชื่อมโยงธนาคารหรือสถาบันการเงินเข้ากับร้านค้าเพื่อให้ใช้ระบบดิจิทัลในการชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แทนการใช้เงินสดและ 3. Linde บริษัทผลิตก๊าซอุตสาหกรรมรายใหญ่ของโลก และหลากหลายประเภทในภาคอุตสาหกรรม เช่น ก๊าซทางการแพทย์ เพื่อใช้ในโรงพยาบาล เป็นต้น
นอกจากนี้กองทุนหลักยังได้รับ Morning Star 5 ดาว และได้รับ Morningstar Sustainability Rating ซึ่งเป็นเรื่องของ ESG ระดับ 4 ลูกโลก เหมาะกับการใช้เป็น Core Port หรือพอร์ตหลัก “กองทุน MGF ถือเป็น Flagship Fund ที่เราแนะนำให้เป็น Core Port มาโดยตลอด ซึ่งนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนทั้งแบบระยะยาวหรือลงทุนแบบ Dollar-Cost Averaging (DCA) ได้และยังมีให้เลือกลงทุนทั้งแบบชนิดไม่รับเงินปันผล (MGFGA) และชนิดรับเงินปันผล (MGFGD) รวมถึงกองทุนลดหย่อนภาษี MGFSSF และ MGFRMF อีกด้วย” นายเชาวน์กร กล่าว