บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (“MINT”) รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 ปี 2565 โดยมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 1.2 พันล้านบาท ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อน ซึ่งมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 3.4 พันล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2564 และ 3.6 พันล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2565
โดยไมเนอร์ โฮเทลส์พลิกฟื้นกลับมามีกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ปี 2565 เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดการระบาดของโรค COVID-19
ในขณะที่ไมเนอร์ ฟู้ด และไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์ยังคงสร้างผลกำไรให้กับบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง หากไม่นับรวมผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี IFRS16 ส่วนขาดทุนจากสถานการณ์ที่บริษัทไม่สามารถควบคุมได้ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของอัตราการแลกเปลี่ยน และสภาพแวดล้อมการดำเนินงานที่ชะลอตัวในประเทศจีน MINT จะมีกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 2.2 พันล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2565 ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 ในไตรมาส 2 ปี 2562 ที่จำนวน 2.1 พันล้านบาท
ทั้งนี้ หากนับรวมรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว MINT รายงานกำไรสุทธิตามงบการเงินอยู่ที่จำนวน 1.6 พันล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2565 เมื่อเทียบกับผลขาดทุนสุทธิจำนวน 3.9 พันล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2564 และรายงานกำไรสุทธิตามงบการเงินอยู่ที่จำนวน 2.2 พันล้านบาท ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 เมื่อเทียบกับผลขาดทุนสุทธิจำนวน 11.2 พันล้านบาท ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งแล้ว MINT ยังคงมุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานะทางการเงิน และประสบความสำเร็จในการลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นให้ต่ำกว่าเงื่อนไขตามพันธสัญญาหนี้ แม้ว่าจะได้รับสิทธิในการขยายระยะเวลาการยกเว้นการทดสอบการดำรงอัตราส่วนทางการเงินดังกล่าวไปจนถึงสิ้นปี 2565
เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของปี 2565 MINT คาดว่าภาคการท่องเที่ยวทั่วโลกจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับความต้องการในการเดินทางเพื่อธุรกิจที่คาดว่าจะสูงขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง MINT คาดว่ากลุ่มโรงแรมในทวีปยุโรป ออสเตรเลีย และมัลดีฟส์จะยังคงมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นสูงกว่าระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 ต่อไป ใน
ขณะที่กลุ่มโรงแรมในประเทศไทยคาดว่าจะมีการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งขึ้นภายหลังจากการยกเลิกข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างประเทศทั้งหมดในเดือนกรกฎาคม 2565 ส่วนไมเนอร์ ฟู้ดในประเทศไทยมีแผนที่จะลงทุนในการยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ทันสมัยและผลักดันการเติบโตของยอดขายผ่านนวัตกรรมใหม่ๆ ท่ามกลางการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่งขึ้น สาขาร้านอาหารทั้งหมดในประเทศจีนได้กลับมาเปิดให้บริการนั่งรับประทานอาหารภายในร้านในเดือนกรกฎาคม โดยมียอดขายรายวันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายหลังจากการกลับมาเปิดร้าน แม้ว่าจะยังคงมีการจำกัดจำนวนที่นั่งภายในร้านและการปิดร้านชั่วคราวจากการที่มีผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายใหม่ในบางพื้นที่ ส่วนกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศออสเตรเลียอยู่ในระหว่างการผลักดันยอดขายผ่านการส่งเสริมเอกลักษณ์กาแฟของแบรนด์เดอะ คอฟฟี่ คลับ เพื่อให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยในระหว่างนี้ MINT จะดำเนินการตามกลยุทธ์การจัดซื้อวัตถุดิบที่เหมาะสมต่อไปเพื่อที่จะบริหารจัดการราคาต้นทุนวัตถุดิบและระดับสินค้าคงเหลือให้เหมาะสมเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะขาดแคลนวัตถุดิบและช่วยลดผลกระทบจากแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ
นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวว่า “ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รายงานผลการดำเนินงานที่โดดเด่นของ MINT ในไตรมาสที่สองนี้แม้ว่าบริษัทจะคงเผชิญกับความท้าทายจากภายนอกในบางตลาดที่บริษัทมีการดำเนินงานอยู่ โดยกลุ่มโรงแรมในทวีปยุโรป ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง และมัลดีฟส์ ซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัททั้งหมดมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนที่สูงกว่าระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินธุรกิจการบริการระดับโลกอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน และการปรับใช้กลยุทธ์ของ MINT ในภูมิภาคเหล่านี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เมื่อมองไปในอนาคตข้างหน้าด้วยกลยุทธ์ที่บริษัทได้วางไว้ เราจึงมีความมั่นใจถึงแนวโน้มการฟื้นตัวเชิงบวกของบริษัทด้วยยอดจองโรงแรมที่แข็งแกร่งในตลาดต่างๆ และความสามารถของบริษัทในการรองรับลูกค้าที่จะกลับมารับประทานอาหารในร้านอาหารของเรา อย่างไรก็ตาม เราได้ก้าวข้ามไปสู่โลกภายหลังการระบาดของโรค COVID-19 แล้ว และเรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่อยู่ในฐานะที่จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ในสภาพแวดล้อมการทำงานรูปแบบใหม่ ด้วยรูปแบบธุรกิจที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และทีมงานที่มีความกระตือรือร้นในการขับเคลื่อนความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง”