กรุงศรี พัฒนาผลิตภัณฑ์ป้องกันเสี่ยงสนับสนุน ESG

Date:

นายฮิโรทากะ คุโรกิ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2566 กรุงศรีมีกำไรจากธุรกรรมเพื่อการค้าและปริวรรตเงินตราต่างประเทศสูงถึง 5,732 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 21% จากปี 2565 สะท้อนความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการในด้านต่างๆ รวมทั้งการสนับสนุนเรื่อง ESG การขยายธุรกิจสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ และการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นดิจิทัล เพื่อตอบสนองความต้องการใหม่ๆ และสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนของลูกค้าและประเทศไทย

สำหรับ ESG ในปี 2566 ที่ผ่านมา กรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ ได้มีส่วนในการระดมทุนด้วยการออกตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางทะเล (Green & Blue Bond) เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล จำนวน 400 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเงินทุนที่ได้จากการนี้ทั้งหมดได้ถูกนำไปสนับสนุนสินเชื่อให้ลูกค้าในกิจการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมในช่วงต่อมา

“กรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ ยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนการพัฒนาประเทศไทยและการเติบโตอย่างยั่งยืนของลูกค้าโดยผสานความร่วมมือกับ MUFG นำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันทางการเงิน เพื่อสนับสนุนลูกค้าในการขยายการลงทุนและธุรกิจและการดำเนินการด้าน ESG ในอาเซียน เช่น ESG-Linked Derivatives เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถบริหารความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยจากการกู้ยืม ในขณะเดียวกัน ยังได้รับผลประโยชน์เพิ่มเติมตามระดับความสำเร็จของเป้าหมาย ESG ที่ลูกค้าตั้งไว้ ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการความสนใจจากลูกค้า

นิติบุคคลที่มีการดำเนินการด้าน ESG เป็นอย่างดี และในปีนี้เราจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนการดำเนินการด้าน ESG ต่อไปในอนาคต” นายคุโรกิ กล่าวย้ำ

เสริมความแข็งแกร่งด้านผลิตภัณฑ์และบริการปริวรรตเงินตราต่างประเทศ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กรุงศรีพบว่าความต้องการของลูกค้าในการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในสกุลเงินอื่นนอกเหนือจากเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก กรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ จึงได้ขยายการให้บริการเงินสกุลเงินดีร์แฮมสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (AED) ไปเมื่อต้นปีนี้ เพิ่มเติมจากสกุลเงินแรนด์แอฟริกาใต้ (ZAR) และดองเวียดนาม (VND) ที่ได้เริ่มให้บริการมาตั้งแต่ปีที่แล้ว

นอกจากนี้ กรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ ยังได้พัฒนาและขยายการให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณและยอดธุรกรรมซื้อขายเงินตราต่างประเทศผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ จำนวนลูกค้านิติบุคคลที่ทำธุรกรรมซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศผ่านช่องทาง e-platform FX@Krungsri ได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 129% และเพิ่มขึ้นอีก 66% ในครึ่งปีแรกของปีนี้  ปัจจุบัน ธุรกรรมการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ทำรายการผ่าน FX@Krungsri มีจำนวนเพิ่มขึ้น 54% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา และการทำธุรกรรมของลูกค้ารายย่อยผ่านแอปพลิเคชัน KMA krungsri app ที่อำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมโอนเงินต่างประเทศได้ถึง 15 สกุลเงินนั้น ยังคงมีการเติบโตอย่างมั่นคง โดยในปี 2566 มียอดธุรกรรมมากกว่า 35,000 รายการ

ในภาพรวม ปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่ 2.4% โดยมูลค่าการส่งออกและนำเข้าในช่วงไตรมาสแรกของปีโตขึ้นเพียง 1% อย่างไรก็ตาม ปริมาณธุรกรรมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในช่วงเดียวกันในปีนี้ของกรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ ได้เพิ่มขึ้นถึง 13%

“เราจะยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการใหม่ๆ ของลูกค้า และจะดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้ประเทศไทยต่อไป” นายคุโรกิ กล่าวเพิ่มเติม

สำหรับภาพรวมของสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อํานวยการอาวุโส สายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า “นักกลยุทธ์กรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ประเมินว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เงินบาทอ่อนค่าลงขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ รับมือกับภาวะดอกเบี้ยสูงได้ดีเกินคาด เมื่อมองไปข้างหน้า คาดว่าสัญญาณชะลอตัวของเงินเฟ้อและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะชัดเจนมากขึ้น เอื้อให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)ตัดสินใจเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายไตรมาสสามของปีนี้เป็นต้นไป มุมมองอัตราแลกเปลี่ยนของเราอยู่บนสมมติฐานหลักที่ว่าเฟดจะหันมาใช้นโยบายที่เข้มงวดน้อยลงและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลดความร้อนแรงตาม

วัฏจักร (Soft Landing) อย่างไรก็ดี ปัจจัยลบนอกสหรัฐฯ อาทิ ความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับสถานะการคลังของประเทศแกนหลักในกลุ่มยูโรโซน และอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงติดลบอย่างมีนัยสำคัญในญี่ปุ่น อาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ได้แรงหนุนต่อไปในระยะสั้น อนึ่ง เรามองว่าค่าเงินบาทจะสามารถฟื้นตัวได้ก่อนสิ้นปีนี้จากการกลับทิศของนโยบายเฟด และแรงส่งจากภาคท่องเที่ยว”

“เราประมาณการค่าเงินบาทในไตรมาสสุดท้ายของปีผันผวนในกรอบ 34.50-36.75 บาท/ดอลลาร์สหรัฐอย่างไรก็ดี การแข็งค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัดท่ามกลางศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ขาดความโดดเด่น กระแสเงินทุนไหลออกต่อเนื่อง รวมถึงประเด็นความท้าทายจากทิศทางการค้าโลกในระยะถัดไป นอกจากนี้ เราตั้งข้อสังเกตไปไกลกว่าสถานการณ์เชิงวัฏจักร ว่าแม้การกลับมาของนักท่องเที่ยวหลังวิกฤติโรคระบาดจะช่วยพยุงเงินบาทไม่ให้อ่อนค่ารุนแรงกว่าที่เป็นอยู่ รวมถึงทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง สัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่ำ แต่หากปัญหาเชิงโครงสร้างซึ่งฉุดรั้งขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ระดับการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจะโน้มต่ำลงในระยะยาว บั่นทอนภูมิคุ้มกันค่าเงินบาทในที่สุด สำหรับนโยบายการเงินของไทย เราประเมินว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 2.50% ตลอดปีนี้ โดยการสื่อสารของผู้ดำเนินนโยบายต่อผู้ร่วมตลาดสะท้อนความสำคัญของการดูแลเสถียรภาพ ลดการสะสมความเปราะบางของเศรษฐกิจการเงินในระยะกลางถึงยาว” นางสาวรุ่ง กล่าวปิดท้าย

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

กาตาร์ แอร์เวย์ส คาร์โก จับมือ MASkargo

กาตาร์ แอร์เวย์ส คาร์โก จับมือ MASkargo ผสานความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งใหม่

EXIM BANK สนับสนุนการจำหน่ายสินค้าเกษตร

EXIM BANK สนับสนุนการจำหน่ายสินค้าเกษตรจากเกษตรกรผู้สูงอายุ 

บสย. เดินหน้าช่วย SMEs ทุกมิติ

บสย. เดินหน้าช่วย SMEs ทุกมิติ เปิดยอดค้ำประกันสินเชื่อ 10 เดือน 43,228 ล้านบาท โครงการ PGS 11 ค้ำประกันทะลุ 2 หมื่นล้า

คปภ.เดินหน้าใช้ ยกระดับธุรกิจประกันภัย

คปภ.เดินหน้าเต็มสูบ ดิจิทัล AI ยกระดับธุรกิจประกันภัย “สร้างโอกาสใหม่แห่งการประกันภัยด้วยเทคโนโลยี เพื่อคุ้มครองชีวิตและสุขภาพอย่างยั่งยืน”