นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้มอบนโยบายให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆทำการสำรวจลู่ทางและโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศที่ประจำอยู่ ตามนโยบายนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และให้รายงานผลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้รับรายงานจากสำนักงานตัวแทนส่งเสริมการค้า (สตท.) ณ เมืองฮิโรชิมา ญี่ปุ่น ถึงแนวโน้มการเติบโตของการเลี้ยงสัตว์ในญี่ปุ่น การขยายตัวของสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง และโอกาสในการส่งออกสินค้ากลุ่มดังกล่าวของไทยเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่น
โดยแนวโน้มการเลี้ยงสัตว์ พบว่า สุนัขและแมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่คนญี่ปุ่นนิยมมากที่สุด สุนัขเคยเป็นสัตว์เลี้ยงอันดับหนึ่งและแมวเป็นอันดับสองจนถึงปี 2014 แต่หลังจากนั้นแมวได้เป็นอันดับหนึ่งแทนสุนัข และยังคงแนวโน้มดังกล่าวเรื่อยมา โดยในปี 2023 แมวเลี้ยงมีจำนวนประมาณ 9.07 ล้านตัว โดยมีอัตราการเลี้ยงแมว คิดเป็นร้อยละ 8.69 ของจำนวนครัวเรือนทั้งสิ้นในญี่ปุ่น ส่วนสุนัขเลี้ยงมีจำนวนประมาณ 6.84 ล้านตัว มีอัตราการเลี้ยงสุนัข ร้อยละ 9.10 ของจำนวนครัวเรือน
ส่วนมูลค่าตลาดสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง ในปี 2014 มีมูลค่า 1.45 ล้านล้านเยน (4.15 แสนล้านบาท) และเพิ่มเป็น 1.57 ล้านล้านเยนในปี 2019 และเป็น 1.69 ล้านล้านเยน ในปี 2020 เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 และคาดว่าปี 2024 จะเพิ่มเป็น 1.84 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.9 โดยค่าใช้จ่ายสำหรับสัตว์เลี้ยง เช่น ฉีดยา ตัดแต่งขน มีสัดส่วนมากที่สุด ร้อยละ 45 แต่แนวโน้มค่อนข้างคงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สินค้าอาหารสัตว์ สัดส่วนร้อยละ 39 ของตลาดสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง มีแนวโน้มขยายตัวอย่างโดดเด่น จากที่มีมูลค่า 5.02 แสนล้านเยน (1.44 แสนล้านบาท) ในปี 2017 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 7.08 แสนล้านเยน (2.02 แสนล้านบาท) ในปี 2024 หรือเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 41.1
นายภูสิตกล่าวว่า การเลี้ยงแมวหรือสุนัขเสมือนสมาชิกหนึ่งของครอบครัว ทำให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงไม่เสียดายที่จะซื้อหาอาหารสัตว์ที่มีคุณภาพสูงแม้ว่าจะแพงกว่าก็ตาม โดยเฉพาะอาหารที่มีโปรตีนสูง มีส่วนผสมของผักและผลไม้สด ปราศจากกลูเตน และสารก่อภูมิแพ้ รวมทั้งไม่ใส่สารปรุงแต่งสังเคราะห์ใด ๆ เป็นต้น และผู้ผลิตสินค้าอาหารสัตว์หลายรายได้เริ่มยกระดับคุณภาพสินค้าอาหารสัตว์ให้เป็น Human Grade กล่าวคือ มีคุณภาพเทียบเท่ากับอาหารที่มนุษย์รับประทาน เช่น คัดเลือกเนื้อคุณภาพสูง หรือใช้วัตถุดิบที่เป็นออร์แกนิคและธรรมชาติ เป็นต้น อาหารสัตว์เลี้ยงเกรดพรีเมียมจึงมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยมาตามลำดับ
สำหรับสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง ยังพบว่า มีความหลากหลาย ทั้งอาหารแห้ง แห้งแบบนุ่ม และเปียก และยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น อาหารประเภทขบเคี้ยวสำหรับแปรงฟัน หรือเสริมความแข็งแรงให้ฟัน รวมถึงบริการที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง ก็ขยายตัวเพิ่มขึ้น เช่น การให้คำแนะนำของสัตวแพทย์ในเรื่องอาหารที่เหมาะสมกับสัตว์เลี้ยง เป็นต้น
“จากแนวโน้มการเติบโตดังกล่าว ทำให้ญี่ปุ่นเป็นตลาดที่น่าสนใจมากสำหรับสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง โดยไทยปัจจุบันเป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับ 6 สำหรับอาหารสัตว์เลี้ยง และอันดับ 3 สำหรับอาหารสุนัขและแมว จึงมีศักยภาพสูงในการขยายการส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่น โดยเฉพาะสินค้าอาหารสุนัขและแมวเกรดพรีเมียมและเพื่อสุขภาพ ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มสูง รวมทั้งสินค้าที่มุ่งกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะ เช่น อาหารสัตว์เลี้ยงเชิงรักษา และอาหารขบเคี้ยว สินค้าเหล่านี้เป็นกลุ่มสินค้าที่ไทยมีโอกาสในการแข่งขันสูง โดยผู้ผลิตและผู้ส่งออกต้องมีการศึกษาและพัฒนาสินค้า ยกระดับและคงคุณภาพความปลอดภัย ติดตามแนวโน้มพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคซึ่งเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้มีโอกาสในการขยายการส่งออกได้เพิ่มขึ้น”นายภูสิตกล่าว
สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ www.ditp.go.th หรือสายตรงการค้าระหว่างประเทศ โทร 1169