
เมื่อวันที่ 5 มี.ค. ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณา ความตกลงว่าด้วยกรอบข้อบังคับด้านความปลอดภัยอาหารอาเซียน ซึ่ง คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะสมาชิกรัฐสภา อภิปรายว่า สมาชิกรัฐสภาคงจะเล็งเห็นประโยชน์ของประเทศไทยและคงผ่านความตกลงนี้ไป หลังจากนี้จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการประสานงานด้านอาหารปลอดภัยอาเซียน ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนและสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ แต่ที่น่าสนใจคือ จะมีหน่วยงานทั้งทางด้านเกษตร ในฐานะผู้ผลิตอาหาร หน่วยงานทางสาธารณสุขที่ดูแลความปลอดภัยของอาหาร และหน่วยงานทางการค้า แต่สิ่งที่ตนห่วงใยคือ หน่วยงานของกระทรวงที่เกี่ยวข้องจะมีความเป็นเอกภาพ หรือแบ่งงานการชัดเจนอย่างไร
ทั้งนี้ ความปลอดภัยของอาหารมีหน่วยงานหนึ่งที่สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดูแล คือ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตร และอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เป็นหน่วยงานหลัก แต่ในเรื่องของสุขภาพ สำนักงานอาหารและยา หรือ อย. สังกัดกระทรวงสาธารณสุขดูแล ทั้ง 2 กระทรวงนี้จะต้องทำงานร่วมกัน เพื่อให้ได้มาตรฐานสินค้าที่ปลอดภัยไปสู่ต่างประเทศ แต่ปัญหาขณะนี้ที่เป็นรูปธรรมเกิดขึ้นแล้ว จากกรณีที่เป็นข่าวมาก่อนหน้านี้คือ น้ำตาลพรีมิกซ์ที่เป็นน้ำเชื่อมของประเทศไทย ไม่สามารถส่งไปประเทศคู่ค้าได้ โดยสมาคมอุตสาหกรรมน้ำตาลแปรรูปไทย ได้รายงานว่า สินค้าน้ำตาลซึ่งผลิตมาจากอ้อยจะมีรูปแบบการนำส่งสินค้า 2 แบบคือ น้ำตาลทราย และน้ำตาบพรีมิกซ์หรือน้ำเชื่อม
นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการส่งสินค้าประเภทน้ำเชื่อมจากประเทศไทย ไปถึงประเทศเป้าหมายตั้งแต่ 11 ธันวาคม 2567 แต่ไม่สามารถนำเข้าประเทศคู่ค้าได้ สินค้าต้องลอยเรืออยู่กลางทะเล จนถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ น้ำเชื่อมดังกล่าวถูกตีกลับ จนต้องนำไปขายที่ประเทศอินเดียในราคาที่ถูกกว่าประเทศคู่ค้า 50 -70% ไม่ต้องถามว่า คุ้มทุนหรือไม่ ผู้ส่งออกขาดทุนกว่า 2 พันล้าน เพราะถูกหน่วยงานตรวจสอบความปลอดภัยทางอาหารของประเทศคู่ค้ากีดกัน นี่คือความสูญเสียที่เกิดขึ้น ที่นำเรื่องนี้มาพูดเพราะเกี่ยวข้องกับเกษตรกร น้ำตาลทรายหรือน้ำเชื่อมก็ล้วนผลิตจากอ้อย ราคาอ้อยก็เกี่ยวพันกับเกษตรกรชาวไร่อ้อย เวลานี้ชาวไร่อ้อย เขาร้องอ๋อยกันแล้ว เพราะไม่มีความคุ้มทุน ขณะนี้ราคาอ้อยลดต่ำลงตันละ 300 บาทจาก 1,460 บาทต่อตันมาเป็นวันนี้ 1,160 บาทต่อตัน เกษตรกรเสียหายอย่างต่ำ 200,000 รายทั่วประเทศ ปัญหานี้ทำอย่างไร สินค้าจากน้ำเชื่อมของประเทศไทยส่งออกไปแล้วแต่ลอยคออยู่กลางทะเล เหตุเกิดขึ้นปลายปี 2567 ต่อเนื่องเนื่องถึงต้นปี 2568 ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้
“ผู้เดือดร้อนไปร้องทุกข์ทุกหน่วยงาน ไปร้องที่มกอช. ว่าทำไมถึงส่งออกไม่ได้ ไปร้องที่กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะที่ทำการค้าระหว่างประเทศ ก็โยนกันไปมา จนสมาคมอุตสาหกรรมน้ำตาลแปรรูปไทย ไม่รู้จะไปพึ่งใคร ต้องไปร้องที่ทำเนียบรัฐบาลก็มีบุคลากรของทำเนียบมารับเรื่องราวร้องทุกข์ มีการลงรับเลขที่หนังสือแล้ว แต่วันนี้หนังสือนี้ไปอยู่ที่ไหน ปล่อยให้เกษตรกรและสมาคมอุตสาหกรรมน้ำตาลแปรรูปไทยขาดทุนยับเยิน อยากถามว่า วันนี้เมื่อรัฐสภาเห็นชอบเรื่องนี้แล้ว จะแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่ อกหักครั้งแรกไม่เท่าไหร่ อย่าให้อกหักซ้ำสองมันจะหนักกว่าเดิม จะกระทบต่อผู้ผลิตและเกษตรกรชาวไร่อ้อยทั่วประเทศ ผมขอฝากปัญหานี้ให้ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ จี้ถามมกอช.ว่า เรื่องนี้มีสายสนกลในอย่างไร เพราะเรื่องนี้เป็นข่าวไปไม่ต่ำกว่า 40-50 ครั้ง แต่แก้ปัญหาไม่ได้ จนต้องไปขายน้ำเชื่อมให้อินเดีย ถูกกว่าเดิม 50-70% ถึงเวลาแล้วที่ไทยต้องปรับมาตรฐานอาหารใหม่ ไม่ใช่ให้ผู้บริโภคเสี่ยงดวงเอาเอง ต้องให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ในสินค้าต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากฟาร์ม หรือจากไร่จากสวน จะได้ปลอดภัย มีมาตรฐาน ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของอนาคตของคนไทยทั้งประเทศ” นพ.เปรมศักดิ์