
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟสบุ๊ก “Thirachai Phuvanatnaranubala – – ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” ระบุว่า
อุ้มลูกหนี้ : วาทะกรรมหาเสียง
อดีตนายกทักษิณสร้างความฮือฮา จะแก้ปัญหาประชาชนที่เป็นหนี้แบงค์ ที่ติดประวัติหนี้เสียที่เครดิตบูโร
โดยเสนอแนวคิด ให้รัฐบาลซื้อหนี้ประชาชนไปจากแบงค์ เปิดให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อนชำระ
กล่าวว่า แบงค์ชาติอุ้มแบงค์พาณิชย์มากไป คุณทักษิณจะอุ้มหนี้ประชาชนเอง
นับเป็นหมากเด็ดเพื่อหาเสียง ระบุกันว่า จากนี้ไป คนจะจำดิจิทัลวอลเล็ต มากกว่า 30 บาทรักษาทุกโรค
ย้อนกลับไปอดีต คุณทักษิณเป็นผู้โปรโมท 30 บาทรักษาทุกโรค ทำให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างกว้างขวาง
นับเป็นประชานิยม ที่ถูกเวลา ถูกสถานการณ์ และถูกใจประชาชนแบบไม่รู้ลืม
แต่เมื่อจัดรูปแบบสวัสดิการพื้นฐานนี้ไปแล้ว ก็ควานหาประชานิยมอื่น หมุนไปหมุนมา
รถคันแรก บ้านหลังแรก กองทุนหมู่บ้าน บ้านเอื้ออาทร จำนำข้าว ฯลฯ
อันที่จริง ถ้าจะผลักดันเศรษฐกิจไทยให้รุดหน้าจริง ต้องเข้าไปขันน๊อตโครงสร้าง เพิ่มประสิทธิภาพ และป้องปรามคอร์รับชัน
แต่ล้วนทำยาก ใช้เวลานาน พรรคเพื่อไทยจึงมุ่งมั่นอยู่แต่นโยบายประชานิยม พลิกแล้วพลิกอีก
ไปเรื่อยๆ ก็หาสิ่งใหม่ที่เหมาะสมได้ยากขึ้นๆ จนกระทั่งเกิดไอเดียดิจิทัลวอลเล็ต
ที่โปรโมทว่า จะใช้บล็อคเชนควบคุมทิศทางการใช้จ่าย จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันใจ ตรงเป้า
และจะพาไทยก้าวกระโดด ขึ้นบันไดเศรษฐกิจดิจิทัล จากขั้นที่หนึ่ง พรวดเดียวขึ้นไปขั้นที่สิบ
แต่การออกเงินดิจิทัล จะกระทบการบริหารนโยบายการเงิน และการดูแลค่าเงินบาท แบงค์ชาติจึงระมัดระวัง
รัฐบาลจึงหาทางอ้อมแบงค์ชาติ โดยเสนอร่างกฎหมายศูนย์การเงิน หน้าฉากโปรโมท เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์ระดับโลก
แต่หลังฉาก ดูเหมือนเพื่อต้องการกระโดดข้ามหัวแบงค์ชาติมากกว่า
ขณะนี้ ร่างกฎหมายอยู่ที่กฤษฎีกา
ล่าสุด คุณทักษิณเสนอประชานิยมตัวแม่ ให้ซื้อหนี้ประชาชนออกมาจากแบงค์พาณิชย์
นายพิชัย รมว.คลัง ก็กระโดดรับ กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้รับภาระหนี้ของประชาชน และไม่ใช่การใช้งบประมาณ
ผมขอแจ้งผู้อ่านว่า แหล่งเงินดำเนินการมีได้เพียง 3 วิธี
1 ให้บริษัทเอกชนที่รัฐไม่ค้ำประกัน เป็นผู้เสนอซื้อหนี้ครัวเรือน (มีอยู่ 16 ล้านล้านบาท) โดยจ่ายเป็นเงินสด
ปัญหากรณีนี้
(ก) จะไม่มีแบงค์พาณิชย์เชื่อว่าเอกชนมีกำลังซื้อจริง
(ข) ถ้าเสนอซื้อหนี้โดยกดราคาต่ำ แบงค์พาณิชย์จะไม่ยอมขายเพราะต้องตัดหนี้สูญขาดทุน
(ค) ถ้าเสนอซื้อหนี้ในราคาสูง เอกชนผู้ซื้อจะขาดทุนเพราะมีค่าใช้จ่ายในการเรียกเก็บหนี้ ตลอดจนจะต้องฟ้องร้องยึดหลักประกันในที่สุด
2 ให้บริษัทเอกชน เป็นผู้เสนอซื้อหนี้ครัวเรือน (มีอยู่ 16 ล้านล้านบาท) โดยจ่ายเป็นเหรียญดิจิทัล ที่รัฐไม่ค้ำประกัน
ปัญหากรณีนี้
(ก) แบงค์ชาติจะไม่อนุมัติเพราะจะเท่ากับยอมให้เอกชนออกเงินตราได้เอง จะคุมปริมาณเงินไม่ได้
(ข) ถึงแม้ถ้าหากแบงค์ชาติอนุมัติ แบงค์พาณิชย์ก็จะไม่ยอมรับเหรียญดิจิทัลเพราะจะไม่มีหลักประกันว่า จะได้รับเงินจริงเมื่อครบกำหนด
3 ให้บริษัทเอกชน เป็นผู้เสนอซื้อหนี้ครัวเรือน (มีอยู่ 16 ล้านล้านบาท) โดยจ่ายเป็นเหรียญดิจิทัล ที่รัฐค้ำประกัน
ปัญหากรณีนี้
(ก) แบงค์ชาติจะไม่อนุมัติเพราะจะเท่ากับยอมให้รัฐบาลออกเงินตราได้เองซึ่งผิดหลักนโยบายการเงิน
(ข) กระทรวงคลังต้องถือเหรียญดิจิทัลเป็นหนี้สาธารณะทันที
(ค) จะเปืดช่องให้บุคคลใกล้ชิดนายกแพทองธารหรือพรรคเพื่อไทยหาประโยชน์ได้จากการปั่นเหรียญดิจิทัล
ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่า มีบุคคลใกล้ชิดนายกแพทองธารหรือพรรคเพื่อไทยหลายราย ที่ได้จัดตั้งบริษัทธุรกิจเหรียญดิจิทัลจ้องรออยู่แล้ว จริงหรือไม่?
ผมจึงขอแนะนำให้ประชาชนตั้งสติ อย่าไปเหลิงดีใจกับวาทะกรรมหาเสียง ที่ฟังสวยหรู แต่เป็นไปไม่ได้
การจะแก้ปัญหาหนี้ประชาชน โดยวาดฝันปากเปล่า ทำได้ง่าย แต่ไม่สามารถเป็นจริง
ไม่ต่างจากความฝันดิจิทัลวอลเล็ต ที่ผ่านมาเกือบสองปี ก็ยังติดหล่มอยู่นั่นแหละ