KKP ชี้ไทยเสี่ยง เงินบาทแข็งสวนปัจจัยพื้นฐาน ซ้ำเติมส่งออก

Date:

KKP ประเมินว่า ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี Donald Trump ซึ่งประเทศไทยอยู่ในกลุ่มที่ถูกเรียกเก็บภาษีค่อนข้างสูงส่งผลให้เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ค่าเงินบาทตั้งแต่ปลายปี 2024 ต่อเนื่องยาวมาถึงต้นปี 2025 มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางแข็งค่าค่อนข้างมาก โดยในช่วงที่ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวอ่อนค่าลงเงินบาทกลับไม่ได้แข็งค่าขึ้นตาม ส่งผลให้แม้เงินบาทเทียบกับดอลลาร์จะค่อนข้างนิ่ง แต่เงินบาทกลายเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่แข็งค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นในภูมิภาค โดยเมื่อพิจารณาค่าเงินบาทเทียบกับหลายๆสกุลเงินในประเทศคู่ค้าถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าการค้า (NEER) ซึ่งเป็นดัชนีที่สร้างขึ้นโดยธนาคารแห่งประเทศไทยจะพบว่าค่าเงินบาทแข็งค่ามากที่สุดตั้งแต่วิกฤติปี 1997 แม้เป็นที่ยอมรับร่วมกันว่าการคาดการณ์ค่าเงินเป็นสิ่งที่ทำได้ยากและมักจะผิดพลาดอยู่เสมอแต่ก็ยังเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่นักวิเคราะห์ในตลาดเกือบทั้งหมดคาดกันว่าเงินบาทควรจะอ่อนค่าลงแต่กลับกลายเป็นแข็งค่าขึ้นอย่างมาก

การแข็งค่าของเงินบาทไม่ใช่เรื่องแปลก…ถ้าแข็งค่าตามปัจจัยพื้นฐาน

ค่าเงินในแต่ละสกุลมีการปรับตัวแข็งค่าและอ่อนค่าเป็นปกติจากหลายปัจจัยเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม KKP Research วิเคราะห์ว่าการแข็งค่าของเงินบาทในปัจจุบันมีลักษณะที่น่าสนใจและไม่เหมือนการแข็งค่าที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปในช่วงปี 2015 – 2019 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องโดยได้รับแรงสนับสนุนจากรายได้จากการท่องเที่ยวสะท้อนผ่านการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดซึ่งประกอบด้วยดุลการค้าและดุลบริการ (การท่องเที่ยว) ที่มีขนาดใหญ่ต่อเนื่องหลายปี

การแข็งค่าของเงินบาทในปัจจุบันมีลักษณะที่ต่างออกไปอย่างน้อย 3 เรื่อง คือ 1) ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยปรับตัวลดลงอย่างมากจากช่วงก่อนโควิด-19 จากทั้งการค้าที่แย่ลงและนักท่องเที่ยวที่ยังไม่กลับมาเท่าเดิม 2) ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยโดยสหรัฐ ฯ มีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าไทยมากซึ่งมักจะหมายถึงเงินที่ควรไหลออกจากไทยไปยังสหรัฐฯและเงินบาทอ่อนค่า และ 3) เงินทุนที่ยังคงไหลออกสุทธิในปี 2024 ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร ทำให้การแข็งค่าของเงินบาทในปัจจุบันอาจดูเหมือนว่าเป็น “การแข็งค่าที่สวนทางกับปัจจัยพื้นฐาน”

เงินบาทแข็งค่า ในวันที่ภาคอุตสาหกรรมอ่อนแอ

ในอดีตการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของเงินบาทเป็นประเด็นที่นักเศรษฐศาสตร์ไทยมีความกังวลอยู่แล้วว่าท้ายที่สุดจะกลับมากระทบกับความสามารถในการแข่งขันในภาคการส่งออก เหมือนในกรณีญี่ปุ่นหลังการข้าร่วม Plaza Accord โดยเงินเยนแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องและกระทบความสามารถในการแข่งขันของการส่งออก  ปัญหาเงินบาทแข็งค่ากระทบการส่งออกและภาคการผลิตเกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปี 2015 -2019 ที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นจากการขยายตัวอย่างมากของภาคการท่องเที่ยว ในขณะที่การแข็งค่าของเงินบาททำให้ภาคอุตสาหกรรมที่เผชิญปัญหาความสามารถในการแข่งขันอยู่แล้วต้องเป็นคนจ่ายต้นทุนจากการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดี คำถามสำคัญ คือ การแข็งค่าของเงินบาทในปัจจุบันเกิดขึ้นได้อย่างไร ? มีใครได้ประโยชน์หรือไม่ ?

เงินบาทผันผวนกับปัจจัยภายนอกมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค

KKP ประเมินว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเกิดจากการตอบสนองของเงินบาทต่อปัจจัยในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วเป็นหลัก แม้ว่าการแข็งค่าเงินบาทบางส่วนมาจากการปรับตัวดีขึ้นค่อนข้างเร็วของนักท่องเที่ยวในช่วงปลายปี 2024 ส่งผลให้ดุลบริการของไทยปรับตัวดีขึ้นสอดคล้องกับฤดูกาลท่องเที่ยวและพฤติกรรมของค่าเงินบาทในอดีต อย่างไรก็ตาม KKP ประเมินว่าการปรับตัวดีขึ้นของการท่องเที่ยวไม่ใช่ปัจจัยหลักอย่างเดียวที่ทำให้บาทแข็งค่าขึ้น  โดยหากพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินในระยะสั้นจะพบว่าปัจจัยพื้นฐานระยะยาวส่งผลค่อนข้างน้อย โดยค่าเงินบาทมีแนวโน้มมีการตอบสนองกับปัจจัยในโลกมากกว่าประเทศอื่น ๆ คือ

1) ราคาทองคำ ความเคลื่อนไหวของราคาทองคำเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนบาทเทียบกับดอลลาร์ เนื่องจากค่าเงินบาทมีความสัมพันธ์กับราคาทองคำอย่างชัดเจนโดยราคาทองคำที่สูงขึ้นมักจะส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นตาม ทั้งนี้คนไทยมองว่าทองคำแท่งเป็นเครื่องมือในการเก็บรักษามูลค่าทางเลือกและตลาดทองคำในไทยถือเป็นตลาดที่ใหญ่ลำดับต้นๆในภูมิภาค อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองและเงินบาทน่าจะเป็นผลมาจากการคาดการณ์ของตลาดเป็นหลักเนื่องจากไม่เห็นการส่งออกทองคำที่เพิ่มขึ้นชัดเจนในข้อมูลการค้าในช่วงที่ราคาทองคำสูงขึ้น

2) ราคาน้ำมัน ประเทศไทยมีปัญหาขาดดุลการค้าด้านพลังงานอย่างมาก ทำให้มีความเปราะบางต่อความผันผวนของตลาดน้ำมันโลกสูงกว่าประเทศอื่น โดยการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน 10% จะส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศลดลงได้ประมาณ 0.5% ของ GDP ราคาน้ำมันที่ลดลงในช่วงปลายปี 2024 ส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าการใช้จ่ายเพื่อนำเข้าพลังงานของประเทศไทยจะลดลง ดุลการค้าดีขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินบาทได้รับแรงสนับสนุน

จากความสัมพันธ์ดังกล่าว ทำให้แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงของดอลลาร์สหรัฐยังเป็นพื้นฐานหลักที่กำหนดทิศทางของค่าเงินในภูมิภาคโดยรวม แต่ความอ่อนไหวของเงินบาทต่อราคาน้ำมันและทองคำที่สูงมาก สามารถชดเชยแรงกดดันนี้ได้ในบางช่วงเวลา และทำให้บางครั้งค่าเงินบาทไม่อ่อนค่าตามค่าเงินอื่น ๆ ในภูมิภาคได้

นอกจากนี้ KKP Research มองว่าการประเมินทิศทางค่าเงินบาทในช่วงนี้มีความคลุมเครือและความไม่แน่นอนสูงขึ้น สาเหตุสำคัญมาจากขนาดที่ใหญ่ขึ้นมากของ Error and Omissions หรือค่าคลาดเคลื่อนทางสถิติในดุลการชำระเงินของไทย ซึ่งมีทิศทางเป็นบวกต่อเนื่องมาหลายไตรมาสและขนาดใหญ่กว่าการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด โดยไม่สามารถอธิบายที่มาที่ไปได้ชัดเจน ซึ่งอาจหมายถึงการมีเงินไหลเข้าไทยต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาแต่ไม่ได้ถูกสำรวจคลอบคลุมในตัวเลขของทางการ เช่น การนำเงินเข้ามาผ่านช่องทางที่ผิดกฎหมาย หรือการเก็บข้อมูลที่ผิดพลาด เช่น มีการคำนวนรายรับนักท่องเที่ยวที่ต่ำกว่าความเป็นจริง

หากปัจจัยที่สำคัญเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไป KKP Research ประเมินว่าประเทศไทยอาจเผชิญกับภาวะที่คล้ายกับ “Dutch disease”  โดยทั่วไป “Dutch disease” หมายถึงภาวะที่เศรษฐกิจเติบโตจากทรัพยากรธรรมชาติ จนทำให้ค่าเงินแข็งตัว ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตลดลง ในกรณีของประเทศไทย รายได้จากการท่องเที่ยวที่สูงต่อเนื่อง ความสัมพันธ์ในเชิงบวกกับราคาทองคำ และกระแสเงินทุนที่ไม่สามารถติดตามได้ อาจผลักดันค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกถดถอย ในช่วงปี 2015-2019 การแข็งค่าของเงินบาทเกิดขึ้นควบคู่กับการไหลเข้าของรายได้จากการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง แต่การเติบโตของภาคการผลิตและการส่งออกกลับอยู่ในระดับต่ำ ในปัจจุบันไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงในลักษณะเดียวกัน และอาจมีต้นทุนต่อเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิมเพราะการแข็งค่าของเงินบาทไม่ได้เกิดจากการขยายตัวของการท่องเที่ยวเหมือนในอดีต

KKP ยังประเมินว่าบาทควรอ่อนค่าตามปัจจัยพื้นฐาน

แม้ว่าในระยะสั้นจะมีหลายปัจจัยที่สนับสนุนการแข็งค่าของเงินบาท แต่เมื่อมองไปข้างหน้า KKP Research ยังคงการประเมินว่าค่าเงินบาทมีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางอ่อนค่ามากกว่าแข็งค่าเหมือนที่คาดไว้ในช่วงต้นปี โดยในระยะสั้นตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปีมี 3 ปัจจัยที่จะส่งผลให้เงินบาทกลับมาอ่อนค่ามากขึ้น คือ 1) ฤดูกาลท่องเที่ยวของไทยที่ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วไนไตรมาส 1 โดยการท่องเที่ยวมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงไตรมาส 2 และยังมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวซ้ำเติม sentiment ของนักท่องเที่ยว 2) การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย โดย KKP ยังเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศต้องปรับลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 3 ครั้งในช่วง 12 เดือนข้างหน้า และ 3) การประกาศขึ้นภาษีของสหรัฐ ฯ แม้ KKP จะเชื่อว่าระดับภาษีดังกล่าวน่าจะไม่ได้ถูกใช้งานอย่างถาวร แต่จะมีการขึ้นภาษีไปก่อนในระยะสั้นทำให้ผลกระทบต่อการส่งออกและดุลการค้าจะรุนแรงในช่วงไตรมาส 2  

ในระยะยาว ปัญหาความสามารถการแข่งขันในภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกของไทย ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ KKP Research มีความกังวลมากที่สุด  โดยการเข้ามาแข่งขันของสินค้าจีน การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี จะทำให้ไทยสามารถส่งออกสินค้าไปต่างประเทศได้ลดลง ซึ่งจะหมายถึงค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงตามและเงินบาทที่อ่อนค่าจะทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ (Shock Absorber) และช่วยให้การส่งออกไทยบางกลุ่มปรับตัวดีขึ้นแทนเหมือนช่วงหลังวิกฤติปี 1997 ที่เงินบาทอ่อนค่าลงและการส่งออกขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว แต่หากพฤติกรรมของค่าเงินบาทไทยยังคงเหมือนในภาวะปัจจุบันที่แม้การส่งออกและท่องเที่ยวจะแย่ลงมากแต่เงินบาทกลับยังแข็งค่าตามปัจจัยต่างประเทศ จะยิ่งน่ากังวลมากขึ้นว่าภาคอุตสาหกรรมไทยอาจได้รับผลกระทบที่รุนแรงกว่าเดิม

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

นายกฯ แสดงความเสียใจ ตัวประกันไทยเสียชีวิตในกาซา

นายกฯ แสดงความเสียใจ ตัวประกันไทยเสียชีวิตในกาซา เรียกร้องคืนร่างทั้งหมดกลับสู่ไทย

นิสสัน คว้าสามรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยม

นิสสัน คว้าสามรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2568

“GO Sustainable with krungsri ก้าวเพื่อสังคมที่ยั่งยืนของเรา”

กรุงศรีเดินหน้าแคมเปญการตลาดภายใต้แนวคิด “GO Sustainable with krungsri ก้าวเพื่อสังคมที่ยั่งยืนของเรา”

“จระเข้” ผนึก “แสนสิริ” พลิกโฉมวงการอสังหาฯ

"จระเข้" ผนึก "แสนสิริ" พลิกโฉมวงการอสังหาฯ ผ่านแนวคิด Health & Well-Being Living มุ่งสู่อนาคตการอยู่อาศัยที่ยั่งยืน