
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข. อยู่ในระหว่างศึกษาแนวทางการลงทุนโครงการที่พักอาศัยผู้สูงอายุ (Senior Housing) ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตของสังคมสูงวัยในอนาคต
ซึ่งจากสถิติในปี 2563 ตลาดที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุทั่วโลก มีมูลค่าประมาณ 1.90 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 3.75 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573 โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลางคาดว่า จะเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุด ด้วยอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ 11.2% และ 8.4% ตามลำดับ และ กบข. กำลังศึกษาแนวทางการให้สมาชิกที่มีความต้องการเข้าอาศัยในศูนย์ที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุด้วย
“จากแนวโน้มสังคมสูงวัยที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศจีน เป็นกรณีศึกษาให้ กบข. ต้องศึกษาการลงทุนในโครงการที่พักอาศัยผู้สูงอายุอย่างจริงจัง เพื่อสร้างโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์ที่น่าสนใจคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีประมาณ 8-12% ถือเป็นการลงทุนเช่นเดียวกับอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้มีการลงทุนประมาณ 9% ของพอร์ตการลงทุนส่วนของสมาชิก กบข.“ นายทรงพล กล่าว
นายทรงพล กล่าวว่า คาดว่ากลางปีนี้จะสามารถสรุปการลงทุนโครงการที่พักอาศัยผู้สูงอายุ ซึ่งจะเป็นการไปร่วมลงทุนกับโครงการที่ดำเนินการและมีผลกำไรแล้ว และอาจจะลงทุนมากกว่า 1 แห่ง ตามความเหมาะสมให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด

กบข. เดินหน้าส่งเสริมให้สมาชิกออมเพิ่ม
นายทรงพล กล่าวว่า กบข. มีความมุ่งหวังยกระดับคุณภาพชีวิตของสมาชิก ลดปัญหาหนี้สินและการไม่มีที่อยู่อาศัยหลังเกษียณของสมาชิก ซึ่งจากข้อมูลการออมเพิ่มของสมาชิก ณ สิ้นปี 2567 มีสมาชิกออมเพิ่ม 24% ของสมาชิกทั้งหมด เป็นจำนวนเงินออมเพิ่ม 29,820 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 6% ของเงินกองทุนส่วนของสมาชิก
ทั้งนี้ กบข. เป็นกองทุนการออมเพื่อการเกษียณ ทำให้มีข้อจำกัดในการขอรับเงินคืนได้เมื่อออกจากราชการเท่านั้น กบข. จึงดำเนินการลดข้อจำกัดดังกล่าว เพิ่มแรงจูงใจให้สมาชิกเลือกใช้บริการออมเพิ่มมากขึ้น ด้วยการสำรวจความต้องการและความสนใจของสมาชิก ซึ่งสมาชิกให้ความสนใจแนวทางการเพิ่มทางเลือกการรับผลตอบแทนในรูปแบบอื่น 4 แนวทาง ดังนี้ 1. การเลือกรับเงินปันผลเป็นประจำ 2. สิทธิการถอนเงินก่อนสิ้นสมาชิกภาพ 3. สิทธิการใช้เงินออมซื้อประกันชีวิตและสุขภาพ และ 4. สิทธิการเข้าอาศัยในศูนย์ที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Senior Housing) หลังจากนี้ กบข. จะนำแนวทางดังกล่าวไปศึกษาความเป็นไปได้ และสรุปผลนำเสนอคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาต่อไป

สงครามการค้า ไม่กระทบผลตอบแทนสมาชิกในภาพรวม
นายทรงพล กล่าวว่า โยบายการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งผลต่อตลาดให้มีความผันผวนมากในปีนี้ นักลงทุนยังไม่มั่นใจความไม่แน่นอที่มีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ซึ่ง กบข. ยังคงเน้นการลงทุน ในสินทรัพย์หลายประเภท เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของผลกระทบ ที่อาจเกิดกับผลตอบแทนจากการลงทุน มีการวางแผนการลงทุนปิดความเสี่ยงทั้งระยะสั้นได้มีการปรับกลยุทธ์ลงทุนตามแผน Tactical Asset Allocation : TAA เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในทองคำ ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดถึง 20% จากทั้งหมด 18 สินทรัพย์ที่ กบข. ลงทุน
นายทรงผล กล่าวว่า กบข. ยืนยันว่ายังคงเน้นการลงทุนแบบระมัดระวัง ในตราสารหนี้และหุ้น โดยจะพิจารณาข้อมูลประกอบ ทั้งผลประกอบการ ความสามารถในการชำระคืนหนี้ของบริษัทผู้ออกตราสารอย่ารอบคอบ โดย กบข. ยังยึดเป้าหมายหลักในการสร้างผลตอบแทนให้กับสมาชิก ด้วยการเอาชนะอัตราเงินเฟ้อประเทศไทยเฉลี่ย 10 ปี บวก 2%
ขณะเดียวกันก็ได้มีการทบทวนแผนการลงทุนระยะยาว (Strategic Asset Allocation : SAA) ทุก 3-5 ปี โดยแผนการลงทุนดังกล่าวคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือน มิ.ย.-ก.ค. 2568 ซึ่งแนวทางหลักจะมีการปรับกลุ่มสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันมากขึ้น รวมถึงการนำทองคำไปอยู่ในกลุ่มสินทรัพย์ที่มีการอ่อนไหวต่อเงินเฟ้อด้วย
เกี่ยวกับ กบข.
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบำเหน็จบำนาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กำหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1.26 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 1.43 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 มี.ค. 2568)