ตลาด สีทาอาคาร แข่งขันกันดุ 2.76 หมื่นล้าน

Date:

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ประเมินว่า ในปี 2025 มูลค่าตลาดสีทาอาคารมีแนวโน้มฟื้นตัวมาอยู่ที่ราว 2.76 หมื่นล้านบาท (+2.2%YOY) ตามการก่อสร้างและปรับปรุงพื้นที่เชิงพาณิชย์ของภาคเอกชน อาทิ พื้นที่ค้าปลีก อาคารสำนักงาน โรงแรม แต่ยังคงมีความท้าทายจากตลาดที่อยู่อาศัยที่คาดว่าจะยังคงหดตัว ซึ่งจะกดดันการก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในปี 2025 ขณะที่ราคาสีทาอาคารมีแนวโน้มปรับตัวลดลงตามต้นทุน ซึ่งเป็นผลมาจากแนวโน้มราคาน้ำมันที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงในปี 2025

การแข่งขันในตลาดสีทาอาคารยังคงรุนแรงต่อเนื่อง ส่งผลให้จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของผู้อยู่อาศัย โดยผู้ผลิตสีทาอาคารรายใหญ่ที่มีการผลิตปริมาณมากและก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด จะเป็นผู้ได้เปรียบในการแข่งขันด้านราคา และยังสามารถรักษาอัตรากำไรได้ดีกว่าผู้ผลิตรายกลางและเล็กที่มีโครงสร้างต้นทุนสูงกว่า โดยแนวทางการปรับกลยุทธ์สำหรับผู้ประกอบการ อาจอยู่ในรูปแบบการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม ที่สามารถกำหนดราคาและอัตรากำไรได้สูงกว่าสีทาอาคารทั่วไป อาทิ สีทาอาคารเกรดพรีเมียม หรือสีทาอาคารที่มีคุณสมบัติเป็นมิตรต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัยและสัตว์เลี้ยง เพื่อเจาะกลุ่มการใช้งานในส่วนของการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ในระดับปานกลาง-บน การก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ที่ได้การรับรองมาตรฐานอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งอาคารสำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีก รวมถึงเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อปานกลาง-สูง ที่มีความต้องการปรับปรุงที่อยู่อาศัยอีกด้วย นอกจากนี้ การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนในกระบวนการผลิต จะยังช่วยลดต้นทุนด้านพลังงาน ซึ่งเป็นต้นทุนที่สำคัญของการผลิตสีทาอาคาร และช่วยรักษาระดับอัตรากำไรได้

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

คปภ. Kick off โครงการ “OIC Be Smart First Jobber

คปภ. Kick off โครงการ “OIC Be Smart First Jobber ปีที่ 4” ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เสริมทักษะประกันภัย เตรียมพร้อมคนรุ่นใหม่สู่เส้นทางอาชีพอย่างมั่นคง

รัฐบาล เดินหน้าลดค่าไฟจริงจัง

รัฐบาล เดินหน้าลดค่าไฟจริงจัง “พีระพันธุ์” เตรียมรื้อโครงสร้างไฟฟ้า หนุนติดโซลาร์รูฟท็อปง่ายขึ้น แก้ปัญหาค่าไฟแพงถึงต้นตอ

ไทยจะสู้เวียดนามอย่างไรในสงครามการค้า?

ไทยจะสู้เวียดนามอย่างไรในสงครามการค้า? เมื่อเวียดนามเร่งเปิดประเทศ ดึงนักลงทุน และจับมือทางการค้าได้รวดเร็วกว่าไทย

ไทย เสี่ยงโดนภาษีนำเข้าสูงกว่าเวียดนาม

ไทยเจรจาการค้ากับสหรัฐยังไม่จบ เสี่ยงโดนภาษีนำเข้าสูงกว่าเวียดนาม แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อ?