
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟสบุ๊ก “Thirachai Phuvanatnaranubala – – ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” ระบุว่า
มูดี้ส์ลดเครดิตสหรัฐ
เมื่อเย็นวันศุกร์ที่ผ่านมา ภายหลังจากตลาดหุ้นสหรัฐปิดแล้ว มูดี้ได้ประกาศลดเครดิตสหรัฐ
จากอันดับสูงสุด AAA ลงไปหนึ่งอันดับ เป็นอันดับรอง AA1
เมื่อ 14 ปีก่อน S&P ได้ลดเครดิตสหรัฐทำนองนี้ เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2011 เป็นรายแรกในบริษัทจัดอันดับเครดิตยักษ์ใหญ่สามราย
ต่อมาเมื่อสองปีก่อน Fitch ได้ทำเช่นเดียวกันเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2023

รูป 1 ตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อ 14 ปีก่อน ได้อ่อนตัวลงมาก่อนหน้า S&P ลดเครดิตอยู่แล้ว
แต่ในวันถัดจากการลดเครดิต ตลาดหุ้นก็ร่วงลงรุนแรง

รูป 2 ตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อ 2 ปีก่อน อยู่ในสภาพคึกคักก่อนหน้า Fitch ลดเครดิต
หลังจากการลดเครดิต ตลาดหุ้นก็อ่อนตัวลงไปอีกหลายสัปดาห์
สภาพตลาดหุ้นสหรัฐในขณะนี้ มีลักษณะคล้ายกับเหตุการณ์เมื่อ 2 ปีก่อน มากกว่าเมื่อ 14 ปีก่อน
การลดอันดับเครดิตจะมีผลต่อตลาดพันธบัตรสหรัฐ
เนื่องจากผู้จัดการกองทุนทั่วโลก จะมี benchmark ที่กระจายสัดส่วนการลงทุนไปในระดับความเสี่ยงต่างๆ เช่น การลงทุนในตราสารหนี้ระดับ AAA เป็นกี่เปอร์เซ็นต์ ในระดับรองลงมา AA1 เป็นกี่เปอร์เซ็นต์
การลดอันดับเครดิตเมื่อ 14 ปีก่อน และเมื่อ 2 ปีก่อน ยังไม่ได้บีบบังคับให้ผู้จัดการกองทุนทั่วโลกต้องขายพันธบัตรสหรัฐ
เพราะเดิมยังมีมูดี้ส์ ที่ให้ยันระดับเครดิต AAA อยู่หนึ่งราย
แต่บัดนี้ ไม่มีสถาบันจัดอันดับเครดิตใดให้อันดับสูงสุด AAA แก่สหรัฐอีกต่อไปแล้ว
ผู้จัดการกองทุนทั่วโลกจะต้องขายพันธบัตรสหรัฐออกจากสัดส่วน benchmark สำหรับการลงทุนในอันดับ AAA
ผลที่จะเกิดขึ้น ราคาพันธบัตรจะลดลง อัตราดอกเบี้ยระยะยาวจะสูงขึ้น
และจะกดดันรุนแรงขึ้นใน มิ.ย./ก.ค. เพราะหนี้รัฐบาลสหรัฐจะครบกำหนดในปีนี้ มากถึง 9.2 ล้านล้านดอลลาร์
และประมาณ 6 ล้านล้านจะครบกำหนดภายใน ก.ค.
สาเหตุที่มีหนี้ครบกำหนดในปีนี้มากมหาศาลเป็นพิเศษ
เนื่องจากในปีที่แล้วก่อนการเลือกตั้งสหรัฐ รัฐมนตรีคลังคนก่อนต้องการเลี้ยงตลาดหุ้นไม่ให้ทรุดตัว
จึงใช้วิธีกู้โดยการออกตราสารหนี้ระยะสั้น ตั๋วเงินคลังที่อายุไม่ถึง 12 เดือน ในสัดส่วนที่สูงเกินกว่าปกติ เพื่อลดการกู้โดยการออกพันธบัตรระยะยาว
มาตรการหล่อเลี้ยงตลาดหุ้น หวังให้ไบเดนชนะเลือกตั้ง กลับมามีผลร้ายในปีนี้ เพราะทำให้จำนวนหนี้ที่ครบกำหนด จะต้องมีการกู้ใหม่ มีจำนวนสูงผิดปกติ
เมื่อหนี้ครบกำหนด และต้องกู้ใหม่ทดแทนมากขึ้น ดอกเบี้ยระยะยาวจะยิ่งพุ่งขึ้นสูง
และจะยิ่งกดดันตลาดหุ้นสหรัฐในห้วงเวลาดังกล่าว
ปัญหานี้กำลังประจวบเหมาะกับสถานการณ์ของโลก
รูป 3 จะเห็นได้ว่า อัตราดอกเบี้ยระยะยาวในประเทศต่างๆ ได้โน้มสูงขึ้นมาตลอด
และเมื่อดอกเบี้ยระยะยาวของพันธบัตรสหรัฐ มีแนวโน้มจะสูงขึ้นไปอีก ก็จะยิ่งกดดันดอกเบี้ยระยะยาวทั่วโลก
เศรษฐกิจโลกจะยิ่งชะลอตัว และอาจเกิดสภาพคล่องเหือดแห้งฉับพลันในบางประเทศด้วย
น่าเสียดาย ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้ไม่ได้มองไปข้างหน้าเลย เอาแต่ฝันเฟื่องเรื่อง G-Token ทั้งที่หลุมใหญ่รออยู่ข้างหน้า