พาส่องธุรกิจสร้าง “ร่างทอง”  

Date:

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญและมีค่านิยมในการใส่ใจสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการออกกำลังกาย รับประทานอาหารสุขภาพและอาหารเสริม ส่งผลทำให้ยอดขายสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพเติบโต เป็นโอกาสของผู้ที่สนใจสร้างรายได้จากการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะธุรกิจออกกำลังกาย ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

จากข้อมูลของสถาบัน Global Wellness ประเมินว่า ในปี 2566 ธุรกิจออกกำลังกายโลก มีมูลค่า 1.06 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดการณ์ว่าจะเติบโตในอัตราเฉลี่ยปีละ 5.8% ในช่วง 5 ปีข้างหน้าจนมีมูลค่าประมาณ 1.41 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2571 โดยในปี 2566 ภูมิภาคอเมริกาเหนือมีมูลค่าตลาดธุรกิจออกกำลังกายมากที่สุดคือ 401,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต 4.2% เมื่อเทียบกับปี 2565 และภูมิภาคลาตินอเมริกาและแคริบเบียนมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดอยู่ที่ 19.5% ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีมูลค่าธุรกิจออกกำลังกาย 300,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต 3.3% 

สำหรับตลาดรายประเทศ พบว่า ในปี 2566 สหรัฐฯ เป็นตลาดออกกำลังกายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก มูลค่าตลาดสูงถึง 376,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาเป็นประเทศจีน (155,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) สหราชอาณาจักร (52,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เยอรมนี (41,600ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และญี่ปุ่น (37,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ตามลำดับ  

สำหรับประเทศไทยมีมูลค่าธุรกิจออกกำลังกาย 3,370 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงเป็นอันดับที่ 32 จาก 218 ประเทศทั่วโลก เพิ่มขึ้น 6.6% จากปี 2565 และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจากการสำรวจข้อมูลการออกกำลังกายของคนไทยอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป พบว่า ในปี 2567 มีคนที่ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างสม่ำเสมอ คิดเป็นสัดส่วน 44.39% เพิ่มขึ้นจาก 42.18% จากปี 2566  

นอกจากนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคด้านสุขภาพและเวลเนสของ SCB EIC เมื่อปี 2566  จำนวน 1,402 คน พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่กว่า 90% นิยมออกกำลังกาย และสัดส่วนผู้ที่ออกกำลังกายมากกว่า 4 ครั้งต่อเดือนอยู่ที่ 56% ของผู้ตอบแบบสอบถาม และกิจกรรมออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ออกกำลังกายเป็นประจำคือกิจกรรมที่ทำต่อเนื่อง เช่น โยคะ/พิลาทิส วิ่ง และเข้ายิม/ฟิตเนส นอกจากนี้ คนไทยในแต่ละช่วงวัยนิยมออกกำลังกายในรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยพบว่า กลุ่ม Baby boomer นิยมการเดินออกกำลังกายมากที่สุด กลุ่ม Gen X นิยมการว่ายน้ำ โยคะ พิลาทิส กลุ่ม Gen Y นิยมการเข้ายิม/ฟิตเนส และกลุ่ม Gen Z นิยมการวิ่ง 

ธุรกิจออกกำลังกายและธุรกิจที่เกี่ยวข้องในไทยมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า  ระบุว่า ในปี 2567 มีนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการในธุรกิจออกกำลังกาย จำนวนทั้งหมด 2,499 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 12,933 ล้านบาท โดยส่วนมากเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็ก 2,485 ราย คิดเป็น 99.44% ของผู้ประกอบการทั้งหมด และในปี 2567 มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 396 ราย เพิ่มขึ้น 33.33% จากปี 2566 นอกจากนี้ ธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย เช่น ธุรกิจขายส่ง/ปลีกเครื่องกีฬา อุปกรณ์ฟิตเนส ชุดออกกำลังกายก็เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน โดยในปี 2567 ธุรกิจกลุ่มนี้มีการจัดตั้งธุรกิจใหม่จำนวน 206 ราย เพิ่มขึ้น 28.75% จากปีก่อนหน้า ทั้งนี้ ในปี 2566 ธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย สามารถสร้างรายได้รวม 42,293 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.23% จากปี 2565 และทำกำไรได้ 1,482 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.51% สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตและโอกาสในตลาดสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ 

ผอ.สนค. ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ธุรกิจออกกำลังกายเป็นธุรกิจที่น่าสนใจและมีปัจจัยสนับสนุนในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อาทิ กระแสการใส่ใจสุขภาพและการมีอายุที่ยืนยาว และการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่ช่วยให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการใช้แอปพลิเคชัน อุปกรณ์ติดตามการออกกำลังกาย (fitness tracking) คลาสออกกำลังกายออนไลน์ ตลอดจนเกิดความนิยมในการออกกำลังกายในรูปแบบผสมผสาน เช่น การชกมวยกับพิลาทิส (Piloxing) เวทเทรนนิ่งกับพิลาทิส รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการออกกำลังทั้งกายและใจ เช่น โยคะ การออกกำลังกายเป็นกลุ่มและการจัดตั้งคอมมูนิตี้ฟิตเนส เพื่อสร้างแรงจูงใจและสนับสนุนให้กำลังใจกัน การมีแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ที่ให้ข้อมูลและกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาออกกำลังกายตามอินฟลูเอนเซอร์ และการให้ความสำคัญกับรูปร่าง บุคลิกภาพและภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่

ธุรกิจอีกกลุ่มที่ได้รับความนิยมคือธุรกิจมวยไทย เนื่องจากเป็นรูปแบบการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพสูงในการสร้างความแข็งแรงของร่างกาย ช่วยลดความเครียด และพัฒนาบุคลิกภาพได้ นอกจากนี้ มวยไทยยังเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่กระทรวงพาณิชย์ได้ส่งเสริมและผลักดันการส่งออกในระดับสากล  ทั้งการขยายศูนย์ฝึกมวยไทย เปิดค่ายมวยและโรงเรียนสอนมวยไทยในต่างประเทศ เพิ่มคลาสมวยไทยในโรงยิม และจัดการแข่งขันมวยไทยในระดับสากล รวมทั้งส่งออกสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับมวยไทย เช่น อุปกรณ์กีฬา เครื่องแต่งกาย อาหารเสริม จึงยังมีโอกาสสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนในธุรกิจดังกล่าวอีกมาก สามารถต่อยอดสู่การสร้างรายได้อย่างเป็นรูปธรรมจากกระแสสุขภาพที่ยังคงเติบโต หรือการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ 

ผอ.สนค. กล่าวทิ้งท้าย แม้ธุรกิจออกกำลังกายจะมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้ประกอบการก็ต้องพัฒนาธุรกิจให้ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคโดยคำนึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น การตอบสนองความต้องการ/เป้าหมายการออกกำลังกายของผู้ใช้บริการแต่ละคน (personalization) ราคาที่เข้าถึงได้ คุณภาพการให้บริการที่ดี การจัดโปรโมชัน การสร้างความคุ้นชินโดยให้ทดลองใช้บริการ เพื่อให้เกิดการใช้บริการต่อเนื่องในอนาคต รวมทั้งอาจพิจารณาช่องทางการให้บริการที่หลากหลายเข้าถึงได้ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ และขยายการให้บริการในรูปแบบแพ็กเกจไปยังสินค้า/บริการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย อาทิ อาหารเพื่อสุขภาพ อุปกรณ์เสริมในการออกกำลังกาย 

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

รมว.พลังงาน สั่งลดราคาน้ำมัน 50 สตางค์ต่อลิตร

รมว.พลังงาน ลดราคาน้ำมันดีเซล และน้ำมันเบนซิน 50 สตางค์ต่อลิตร เพื่อบรรเทาค่าครองชีพให้กับประชาชน

“ชลัช รัตนบุญนิธิ” นั่งเอ็มดี EXIM BANK คนใหม่

คณะกรรม EXIM BANK ตั้ง “ชลัช รัตนบุญนิธิ” เป็นกรรมการผู้จัดการ คนใหม่

EXIM BANK เปิดตัว ปั้น SMEs ไทยสู่เวทีการค้าโลก

EXIM BANK เปิดตัว “หลักสูตร EXIM 2X รุ่นที่ 1 ปี 2568” ปั้น SMEs ไทยสู่เวทีการค้าโลก

คปภ. จัดประชุมหารือแนวทางการลดข้อร้องเรียนด้านการประกันภัย

คปภ. จัดประชุมหารือแนวทางการลดข้อร้องเรียนด้านการประกันภัย ร่วมผลักดันระบบคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนให้มีประสิทธิภาพ