กรุงศรี ชี้ทิศลงทุนครึ่งปีหลังยังผันผวน 

Date:

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) อัปเดตมุมมองเศรษฐกิจและเทรนด์การลงทุนช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ในงานสัมมนา Mid-Year Economics and Investment Outlook 2025 จัดขึ้นสำหรับลูกค้ากรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง และกรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ โดยสรุปว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวจากความเสี่ยงสงครามการค้า ขณะที่ตลาดหุ้นผันผวนสูงจากนโยบายสหรัฐฯ แต่ยังเป็นโอกาสสำหรับการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป จีน อินเดีย และสินทรัพย์ทางเลือก แนะสร้างพอร์ตลงทุนแบบ Core & Satellite กระจายการลงทุนทั้งในแง่สินทรัพย์และภูมิภาคท่ามกลางความไม่แน่นอน

งานสัมมนาครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและการลงทุนของกรุงศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนจาก 4 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนระดับโลก ได้แก่ Allianz Global Investors, First Sentier Investors, Schroders, Fidelity International และนายทิวา ชินธาดาพงศ์ นายกสมาคมนักลงทุนประเทศไทย เริ่มต้นด้วยภาพรวมเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย โดย ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ และผู้บริหารสายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ชี้ว่าเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มชะลอตัวจากปัจจัยเสี่ยงด้านการค้า โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนแรง แม้การเจรจาการค้าจะมีความคืบหน้า และคาดว่า FED จะลดดอกเบี้ยอีก 2-3 ครั้งในครึ่งปีหลัง ขณะที่ยูโรโซนเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและการค้าระหว่างประเทศ โดยคาดว่า ECB จะลดดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้ง อยู่ที่ระดับ 1.5%-1.75% ภายในสิ้นปี ในส่วนของญี่ปุ่นได้แรงหนุนจากภาคบริการที่แข็งแกร่ง แม้ภาคการผลิตได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า คาดว่า BOJ จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% ส่วนจีนยังเผชิญความเสี่ยงจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ทำให้การฟื้นตัวยังไม่มั่นคง

สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตเพียง 2.1% ต่ำกว่ากว่าศักยภาพและต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ซึ่งหากได้รับผลกระทบจากภาษีตอบโต้ที่ 36% อาจเติบโตเพียง 1.5% อย่างไรก็ตาม ยังมีแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐฯ มาตรการกระตุ้น และการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ทั้งนี้ คาดว่ากนง. จะลดดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้ง

‘หุ้นสหรัฐฯ คุณภาพสูง’ ยังเป็นทางเลือกลงทุนหลัก

ผู้เชี่ยวชาญจาก Allianz Global Investors ได้ฉายภาพตลาดหุ้นที่มีความผันผวนอย่างต่อเนื่องตลอดทศวรรษที่ผ่านมา โดยความผันผวนในปัจจุบันมีสาเหตุหลักจากนโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งนับเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความผันผวนสูงเป็นอันดับสองรองจากช่วง COVID-19 ทำให้เกิดความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ สะท้อนผ่านการคาดการณ์ GDP ที่ถูกปรับลง ขณะที่คาดการณ์เงินเฟ้อสหรัฐฯ ถูกปรับขึ้น อย่างไรก็ตามสหรัฐฯ ยังมีความน่าสนใจในแง่ของคุณภาพของบริษัทที่มีการเติบโตโดดเด่นในระยะยาว ทั้งนี้ ยังได้แนะนำให้กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในยุโรป ซึ่งได้ประโยชน์จากนโยบายการคลังที่กระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงแนะนำการลงทุนในตราสารหนี้ซึ่งได้ประโยชน์จากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อเนื่อง ส่วนทองคำยังคงได้รับแรงหนุนจากการซื้อของธนาคารกลางประเทศกำลังพัฒนา โดยมองกลยุทธ์การลงทุนแบบ Core & Satellite ที่กระจายการลงทุนทั้งในแง่สินทรัพย์และภูมิภาคเป็นกลยุทธ์สำคัญในช่วงนี้

ด้านนายวิรัตน์ วิทยศรีธาดา, CFA ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์และที่ปรึกษาการลงทุน, Head of Krungsri Investment Intelligence Office, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ยังคงมองบวกต่อหุ้นสหรัฐฯ หากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังคงดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดดังเช่นที่ผ่านมา 9 ไตรมาสติดต่อกัน แม้มีความเสี่ยงจาก 4 ปัจจัยได้แก่ 1. ภาวะเศรษฐกิจแบบ Stagflation 2. ความไม่แน่นอนของนโยบายทรัมป์ 3. การผ่อนคลายนโยบายการเงินของ FED ที่มีความไม่แน่นอนเรื่องขนาดและเวลาที่ FED จะลดดอกเบี้ย 4. มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับตึงตัว 

ดังนั้น ในส่วนของ Core Portfolio แนะนำว่า 50-70% ควรลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งยังคงมีคุณภาพและแนวโน้มผลประกอบการที่เติบโต รวมถึงกองทุนผสม เช่น KFGDB-A ลงทุนหุ้นโลก ตราสารหนี้ ผ่านกองทุนหลัก Allianz Dynamic Multi Asset Strategy SRI 50 และ KFGDA-A ที่ลงทุนในทรัพย์สินหลายประเภท เน้นตลาดตราสารทุน และตราสารหนี้ทั่วโลก 

ยุโรป-จีน-อินเดีย กับกลยุทธ์ Satellite Portfolio เพิ่มโอกาสในโลกผันผวน

ในช่วงเสวนากลุ่ม นายวิรัตน์ วิทยศรีธาดา, CFA, Head of Krungsri Investment Intelligence Office พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนจาก 4 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนระดับโลก ได้แก่  Allianz Global Investors, First Sentier Investors, Schroders, Fidelity International และนายทิวา ชินธาดาพงศ์ นายกสมาคมนักลงทุนประเทศไทย ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองต่อการลงทุนในหลากหลายภูมิภาคและสินทรัพย์ทั่วโลก โดยเฉพาะในส่วนของ Satellite Portfolio ที่เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตสูงและมีความเสี่ยงที่สูงกว่าพอร์ตหลัก เริ่มจากมุมมองตลาดหุ้นยุโรป ซึ่งเคยตามหลังตลาดสหรัฐฯ มาระยะหนึ่ง แต่กลับมาโดดเด่นหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ เนื่องจากนักลงทุนหันกลับมาให้ความสำคัญกับมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานมากขึ้น นอกจากนี้โครงสร้างตลาดหุ้นยุโรปมีความกระจายตัวในหลายกลุ่มมากกว่า เมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ ที่กระจุกในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Magnificent 7)

ขณะที่เศรษฐกิจจีนอาจเติบโตช้าลงในไตรมาส 2 ทั้งนี้ ปัจจัยขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจจีนจะมาจากการสนับสนุนและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากภาครัฐ รวมถึงความคืบหน้าในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ โดยหุ้นกลุ่ม A-Shares มีความน่าสนใจ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐและการบริโภคภายในประเทศ และยังมีโอกาสฟื้นตัวเมื่อเทียบกับ H-Shares 

สำหรับตลาดหุ้นอินเดียยังคงเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ โดยได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าอย่างจำกัด เนื่องจากมีการพึ่งพาเศรษฐกิจภายในประเทศสูง ประชากรวัยแรงงานขนาดใหญ่ยังช่วยหนุนกำลังซื้อในประเทศ โดยมองว่ากองทุนอย่าง FSSA Indian Subcontinent Fund มีความโดดเด่นและแตกต่างจากกองทุนหุ้นอินเดียอื่น ซึ่งเน้นวิเคราะห์หุ้นแบบเจาะลึก และให้ความสำคัญกับประเด็นด้านธรรมาภิบาลเพื่อปกป้องเงินลงทุนของนักลงทุนด้วย

นอกจากนี้ ยังมีการเสนอทางเลือกการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดหุ้นอย่าง Private Assets โดยเฉพาะ Private Equity ซึ่งให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอและมีความผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้น โดยทาง Schroders จะเน้นลงทุนในกลุ่ม Small-mid Buyout ที่มี มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานน่าสนใจ กระจายการลงทุนกว่า 230 บริษัททั่วโลก มีจุดเด่นด้านการบริหารสภาพคล่องแบบ Semi-liquid ที่สามารถลงทุนได้ทุกเดือน และสามารถขายคืนได้เป็นรายไตรมาส ช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนแบบ Private Equity ได้ง่ายขึ้น โดยพอร์ตการลงทุนของ Schroders ปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Services ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำจากประเด็นสงครามการค้า

โดยสรุปในส่วนของ Satellite Portfolio ควรกระจายไปยังกองทุนที่เน้นลงทุนหุ้นรายประเทศ Private Assets และ Structure Notes เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและความผันผวนโดยรวมของพอร์ตลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

– กองทุนที่แนะนำ ได้แก่ KT-Ashares-A ลงทุนในหุ้นจีนที่มีคุณภาพสูง ผ่านตลาด A-Shares, KFHEUROP-A ลงทุนในหุ้นชั้นนำของยุโรป ครอบคลุมหลากหลาย Sector, KFINDIA-A ลงทุนในหุ้นอินเดียที่มีแนวโน้มเติบโตและมี Valuation ที่น่าสนใจ, KFGDIV-A ลงทุนในหุ้นปันผลทั่วโลกผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ Fidelity Funds – Global Dividend Fund 

– ในส่วนของ Private Assets เช่น หุ้นนอกตลาด สินเชื่อเอกชน อสังหาฯ ซึ่งไม่ได้เคลื่อนไหวตามตลาดหุ้นหรือตราสารหนี้ เช่น กองทุน KFGPE-UI ลงทุนในกองทุนหลัก Schroders Capital Semi-Liquid Global Private Equity ที่ลงทุนใน Private Assets กว่า 200 ดีลทั่วโลก

– หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง (Structured Notes) อาทิ Bullish Shark-Fin Note หรือ Fixed Coupon Note เป็นต้น

สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถรับชมย้อนหลังได้ผ่านช่องทาง YouTube: Krungsri Simple หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ KRUNGSRI PRIVATE BANKING หรือ KRUNGSRI EXCLUSIVE โทร 02-296-5566 LINE: @KrungsriExclusive

เกี่ยวกับกรุงศรี 

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) เป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของไทยด้านสินทรัพย์ สินเชื่อ และเงินฝาก และเป็นหนึ่งในหกสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) โดยดำเนินธุรกิจมานานถึง 80 ปี กรุงศรีเป็นบริษัทในเครือของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) กลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก กลุ่มกรุงศรีให้บริการทางการเงินการธนาคารอย่างครบวงจร ทั้งในด้านสินเชื่อเพื่อรายย่อย การลงทุน การบริหารจัดการกองทุน รวมทั้งผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินอันหลากหลายแก่กลุ่มลูกค้าบุคคล ลูกค้า SME และลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ ผ่านสาขาของธนาคารกว่า 567 สาขา (เป็นสาขาที่ให้บริการทางการเงินในรูปแบบปกติ 527 สาขาและสาขาที่ให้บริการเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ 40 สาขา) และช่องทางการขายกว่า 32,566 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ กรุงศรียังเป็นผู้ออกบัตรเครดิตรายใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยมีจำนวนบัญชีบัตรเครดิตและสินเชื่อเพื่อการผ่อนชำระ/สินเชื่อส่วนบุคคลมากกว่า 10 ล้านบัญชี และเป็นผู้ให้บริการด้านสินเชื่อรถยนต์ชั้นนำ (กรุงศรี ออโต้) พร้อมทั้งมีบริษัทบริหารจัดการกองทุนที่มีอัตราเติบโตสูงที่สุดแห่งหนึ่ง (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงศรี จำกัด) ทั้งยังเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้มีรายได้น้อย (บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน)) อีกด้วย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ https://www.krungsri.com

กรุงศรีมีพันธสัญญาในการดำเนินธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างสูงสุด ธนาคารและบริษัทในเครือได้ผ่านการรับรองการเป็นสมาชิกอย่างสมบูรณ์ของ “แนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านทุจริต” โดยมุ่งร่วมมือกับองค์กรชั้นนำในไทยและผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียของธนาคาร เพื่อให้การดำเนินธุรกิจปราศจากการทุจริตคอร์รัปชั่น

เกี่ยวกับมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG)

มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) เป็นหนึ่งในกลุ่มสถาบันทางการเงินชั้นนำระดับโลก มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ กรุงโตเกียว ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานในการดำเนินธุรกิจกว่า 360 ปี MUFG มีเครือข่ายสำนักงานราว 2,000 แห่ง ในกว่า 40 ประเทศทั่วโลกและมีพนักงานกว่า 120,000 คน MUFG นำเสนอบริการทางการเงินที่หลากหลายครอบคลุมทั้งธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ทรัสต์แบงก์กิ้ง ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจบัตรเครดิต ธุรกิจสินเชื่อเพื่อรายย่อย ธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธุรกิจเช่าซื้อ MUFG มีเป้าหมายที่จะเป็น “กลุ่มสถาบันทางการเงินที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดในโลก” ด้วยการผสานศักยภาพในการดำเนินธุรกิจเพื่อตอบสนองทุกความต้องการทางการเงินของลูกค้าโดยคำนึงถึงสังคมและการแบ่งปันสู่ความเติบโตอย่างยั่งยืน  MUFG จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ตลาดหลักทรัพย์นาโกยา และตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MUFG กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ https://www.mufg.jp/english

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

นายกฯ ถกมาตรการฟื้นฟูความเชื่อมั่นพุทธศาสนา 

นายกฯ ถกมาตรการฟื้นฟูความเชื่อมั่นพุทธศาสนา สั่งสื่อสารทันสมัยเข้าใจง่าย -เข้าถึงคนรุ่นใหม่ ให้เจ้าหน้าที่-ขรก. เป็นแบบอย่างที่ดี 

“แบงก์ชาติ” รอดูผลกระทบ สหรัฐขึ้นภาษีไทย

“แบงก์ชาติ” รอผลเจรจาภาษีสหรัฐ ก่อนประเมินผลกระทบเศรษฐกิจไทย แนะภาคธุรกิจเร่งปรับตัว

ธนาคารกรุงเทพ กำไรครึ่งปี 24,458 ล้านบาท

ธนาคารกรุงเทพ รายงานกำไรสุทธิสำหรับงวดแรกปี 2568 จำนวน 24,458 ล้านบาท

JAECOO ประกาศแต่งตั้ง “มาริโอ้ เมาเร่อ” เป็นพรีเซนเตอร์คนแรก

JAECOO ประกาศแต่งตั้ง “มาริโอ้ เมาเร่อ” เป็นพรีเซนเตอร์คนแรกของแบรนด์ในประเทศไทย