
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขณะนี้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) อยู่ระหว่างประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่จะมีต่อเศรษฐกิจไทย แต่ส่วนตัวเชื่อว่าไม่น่าจะมีผลกระทบมากนัก และหวังว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะไม่ยืดเยื้อยาวนาน โดยจะต้องรอผลการหารือของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (UNSC) ที่ได้เตรียมจัดประชุมฉุกเฉินในประเด็นดังกล่าว ซึ่งคาดว่าหากทุกฝ่ายถอยออกมา สถานการณ์จะคลี่คลายดีขึ้น และจะช่วยลดการสูญเสียที่จะเกิดขึ้นกับทั้ง 2 ฝ่าย
สำหรับแนวทางในการให้ความช่วยเหลือ เยียวยาและบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งในครั้งนี้นั้น กระทรวงการคลังได้สั่งการไปยังหน่วยงานทั้งหมดให้เริ่งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐก็ได้เร่งออกมาตรการในการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ก่อนหน้านี้ทราบว่ากรมบัญชีกลางได้มีการอนุมัติขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ความขัดแย้งเพิ่มเติมจังหวัดละ 100 ล้านบาทตามขอของกระทรวงมหาดไทยเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมองว่าเรื่องนี้เป็นการให้ความช่วยเหลือที่เร็วและตอบโจทย์มากที่สุดในสถานการณ์ขณะนี้
ทั้งนี้ มองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/2568 จะยังขยายตัวได้ดี โดยยังได้รับแรงส่งจากไตรมาส 1/2568 ที่ตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) ขยายตัวได้ถึง 3.1% อีกทั้งยังมีผลดีจากแนวโน้มการส่งออกที่เติบโตได้ดี จากการเร่งส่งออก ส่วนทิศทางเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/2568 อาจจะมีความเสี่ยงจากปัจจัยลยเรื่องชายแดนบ้าง แต่เชื่อว่าสถานการณ์ตามแนวชายแดนน่าจะไม่นาน