วิจัยกรุงศรี ห่วงฐานะการคลังอ่อนแอ กดดันเศรษฐกิจไทย

Date:

วิจัยกรุงศรี ประเมินว่า กรณีฟิทซ์ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของไทยสู่เชิงลบ  ปัจจัยฉุดจากภาคการคลังที่อ่อนแอลงและการเมืองที่เปราะบาง ล่าสุดบริษัทฟิทซ์ เรnติงส์ แม้ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยไว้ที่ BBB+ แต่ได้ปรับลดแนวโน้มลงจาก “มีเสถียรภาพ” เป็น “เชิงลบ” เนื่องจาก (i) ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อแนวโน้มภาคการคลังที่ได้รับผลพวงจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ประกอบกับ (ii) ปัจจัยลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น ผลจากการชะลอตัวของอุปสงค์โลก การฟื้นตัวที่ล่าช้าของภาคท่องเที่ยว และภาระหนี้ครัวเรือน 

การปรับลดแนวโน้มอันดับความเชื่อถือลงสู่เชิงลบของฟิทซ์ เรตติ้งส์ล่าสุด หลังจากที่ Moody’s ได้ปรับลดแนวโน้มไปก่อนหน้าในช่วงปลายเดือนเมษายนนั้น  สะท้อนว่าประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างด้านการคลังและศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ในระยะสั้น รัฐบาลได้เตรียมดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง รวมถึงสนับสนุนการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวภายในประเทศ เพื่อช่วยพยุงการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศและบรรเทาผลกระทบจากการชะลอตัวของภาคส่งออก สำหรับในระยะกลางถึงยาว ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อการเพิ่มศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการลดการขาดดุลทางการคลังหรือการรักษาวินัยการคลัง เพื่อลดภาระหนี้สาธารณะและบรรเทาความเสี่ยงในการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในอนาคต

มูลค่าส่งออกเดือนสิงหาคมเติบโตชะลอเหลือเลขหลักเดียวในรูปเงินดอลลาร์ และหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ในรูปเงินบาท กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 27.7 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 11 เดือนที่  5.8% YoY หากหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน และทองคำ การส่งออกเติบโต 5.4% โดยการส่งออกสินค้าสำคัญที่ยังขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ แผงวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาง ขณะที่การส่งออกสินค้าเกษตรกลับมาหดตัวโดยได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันทางด้านราคา อาทิ ข้าว ยางพารา และมันสำปะหลัง ด้านตลาดส่งออกพบว่าตลาดหลักที่ขยายตัว เช่น สหรัฐฯ จีน และอาเซียน ขณะที่หดตัวในตลาดสหภาพยุโรป และญี่ปุ่น สำหรับในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 223.2 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 13.3% 

การส่งออกของไทยในเดือนสิงหาคมชะลอลงชัดเจน หลังจากเริ่มมีการบังคับใช้อัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯที่ 19% ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม โดยการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯเติบโตเหลือเพียง 12.8% YoY ชะลอลงจากที่เคยขยายตัวเฉลี่ยเกือบ 30% ในช่วง 7 เดือนแรก สะท้อนว่าปัจจัยบวกจากการเร่งส่งออกล่วงหน้าได้ทยอยสิ้นสุดลง และการส่งออกไปสหรัฐฯ อาจมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในเดือนสิงหาคมยังทำให้มูลค่าส่งออกในรูปเงินบาทหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ -5.5% YoY สถานการณ์ดังกล่าวกดดันรายได้ผู้ส่งออกในประเทศโดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตที่มีการนำเข้าวัตถุดิบในสัดส่วนที่น้อยหรือใช้วัตถุดิบในประเทศ (local content) เป็นหลัก ทั้งนี้ แรงกดดันทั้งจากการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และการแข็งค่าของเงินบาท มีแนวโน้มทำให้บทบาทของภาคส่งออกในฐานะเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยอ่อนแรงลงอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปีนี้

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

คนละครึ่ง เริ่มใช้ 29 ต.ค.นี้

คนละครึ่ง เริ่มใช้ 29 ต.ค.นี้ เปิดให้ประชาชน 20 ล้านคน ลงทะเบียนผ่านแอปเป๋าตัง 20-26 ต.ค. 2568

คลังจ่อคลอดซื้อสลากฯ ออมเงินใช้หลังเกษียณ

คลัง เร่งคลอดซื้อสลากฯ คืนกำไรเป็นเงินออม ใช้ลงทุนหลังเกษียณ

BAM เปิดตัวโครงการ “ทรัพย์มหาชน” เพื่อบ้านของคนสู้ชีวิต

พลาดไม่ได้!! BAM เปิดตัวโครงการ “ทรัพย์มหาชน” เพื่อบ้านของคนสู้ชีวิต ไม่มีเงินเดือนประจำก็ผ่อนได้ เริ่มต้นแค่ 500 บาท ต่อเดือน

นายกฯ อนุทิน ประชุมครม.เศรษฐกิจ อนุมัติ “คนละครึ่ง”

นายกฯ อนุทิน ประชุมครม.เศรษฐกิจบ่ายวันจันทร์ อนุมัติ หลักการ “คนละครึ่ง” กันงบฯ 69 ไว้แล้ว กลางต.ค.ลงทะเบียนได้