
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิรณรงค์ เพื่อไม่สูบบุหรี่ เขียนข้อควาในเพจเฟสบุ๊ก “มูลนิธิรณรงค์ เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ASH THAILAND” ระบุว่า
ขอบคุณอธิบดีกรมสรรพสามิตที่จะเสนอรัฐบาลให้ปรับภาษีบุหรี่
ภาษีบุหรี่เป็นมาตรการที่สำคัญที่สุด ในการลดคนสูบบุหรี่ ราคาบุหรี่ที่แพงขึ้นจากการขึ้นภาษี จะทำให้คนสูบบุหรี่ลดลง บางคนเลิกสูบ และป้องกันเด็ก/วัยรุ่นที่จะเข้ามาเป็นนักสูบหน้าใหม่
การที่คนสูบบุหรี่ลดลง ทำให้คนเจ็บป่วยลดลง ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาสุขภาพ ทั้งของครอบครัวและของรัฐ
ภาษีบุหรี่ยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญสำหรับรัฐบาล ที่จะนำมาพัฒนาประเทศ
ภาษีบุหรี่จึงเป็นเครื่องมือ Win-Win คือรัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น สุขภาพประชาชนดีขึ้นจากการสูบบุหรี่น้อยลง
แต่หากบริหารจัดการโครงสร้าง/อัตราภาษีไม่ดี ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ภาษีบุหรี่จะกลายเป็น Lose-Lose คือเสียกับเสีย รายได้ภาษีลดลง คนสูบบุหรี่ไม่ลดลง แทนที่จะเป็น Win-Win ฝ่ายเดียวที่ได้ประโยชน์คือบริษัทบุหรี่
ในฐานะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ ที่ติดตามนโยบายภาษีบุหรี่อย่างใกล้ชิด ตลอด 30 กว่าปีที่ผ่านมา
จึงมีความผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง กับความผิดพลาดที่มีการปรับภาษีจากอัตราเดียวเป็น 2 อัตราในปี 2560 และแม้จะมีการปรับอัตราภาษีในปี 2564 ภาษีบุหรี่ก็ยังเป็น 2 อัตรา ซึ่งทำให้รายได้จากภาษีบุหรี่ยิ่งลดลงไปอีก
ภาษีบุหรี่ 2 อัตรา ทำให้บริษัทบุหรี่ต่างลงมาแข่งขันในตลาดอัตราภาษีระดับล่าง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีในอัตราสูง ส่งผลให้รัฐเก็บภาษีได้ลดลง คนสูบบุหรี่ไม่ลดลง ด้วยการหันมาสูบบุหรี่ตลาดล่างที่ราคาถูกกว่า
ที่เจ็บปวดที่สุดคือ นักวิชาการด้านภาษี/องค์การอนามัยโลก ได้เพียรพยายามเสนอให้รัฐบาลตลอด 6-7 ปีที่ผ่าน ๆ มา ให้ปรับภาษีให้เหลืออัตราเดียว แต่ข้อเสนอไม่ได้รับความสนใจ
จึงต้องขอบคุณที่อธิบดีกรมสรรพสามิต คุณพรชัย ฐีระเวช ออกข่าวที่จะเสนอให้รัฐบาล ปรับภาษีให้เหลืออัตราเดียว และขึ้นภาษีเพื่อจะเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น
กระทรวงสาธารณสุขจะได้รับผลบุญจากการที่คนสูบบุหรี่น้อยลง ป่วยน้อยลง เครือข่ายที่รณรงค์ไม่สูบบุหรี่ก็จะมีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น
ส่วนอัตราภาษีควรจะเป็นเท่าไร ที่จะทำให้เก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น ท่านอธิบดีก็ได้กล่าวไว้ตามที่ปรากฏในข่าว ว่าจะพิจารณาขึ้นอัตราภาษีขาตามมูลค่าให้เพิ่มขึ้นจาก 25% ในปัจจุบัน และเพิ่มภาษีขาตามปริมาณที่เก็บอยู่ซองละ 25 บาทในขณะนี้
ผมมีข้อเสนอเดียว คือขอให้ให้ความสำคัญกับการขึ้นภาษีขาคิดตามปริมาณ มากกว่าการขึ้นภาษีขาคิดตามมูลค่า เพราะภาษีตามมูลค่ามีจุดอ่อนที่บริษัทบุหรี่จะแจ้งมูลค่าต่ำกว่าความจริง เพื่อหลบเลี่ยงภาษี
ส่วนที่ท่านอธิบดีเน้นว่า ต้องขันน๊อตการปราบปรามบุหรี่เถื่อน เป็นเรื่องที่ถูกต้อง การแก้ปัญหาบุหรี่เถื่อน ต้องแก้ที่ระบบการควบคุมปราบปรามบุหรี่เถื่อน ไม่ใช่ไปกลัวว่าระดับภาษีจะสูงเกินไป ตามที่บริษัทบุหรี่ขู่รัฐบาลทั่วโลก
จะคอยฟังข่าวดีจากรัฐบาล ต่อข้อเสนอของอธิบดีกรมสรรพสามิตครับ






