นายพงศ์ศิริ ศิริธร ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เคอรี่ โลจิสติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่อยู่ในกลุ่ม Kerry Logistics Network Limited หรือ KLN ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ธุรกิจขนส่งและ โลจิสติกส์ เปิดเผยว่า จากการตั้งเป้าหมายในการขยายเพิ่มพื้นที่ให้บริการคลังสินค้า เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ โดยในส่วนของโซนระยอง บริษัทได้ขยายเพิ่มพื้นที่คลังสินค้าในนิคมอุตสาหกรรมเหมราช อีสเทิร์นซีบอร์ด เพื่อรองรับฐานลูกค้าในทุกอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวสูงขึ้น
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตโดดเด่น และเริ่มเข้ามาใช้บริการคลังสินค้า เป็นอุตสาหกรรมด้านยานยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV ที่มีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นในเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC และคาดว่าแนวโน้มการขยายตัวของกลุ่มยานยนต์ EV มีโอกาสเติบตัวสูง ตามความต้องการของตลาด และมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าของภาครัฐ ที่ผลักดันการใช้พลังงานสะอาด เพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อม
“ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มเติบโตสูง ในประเทศไทยเป็นอีกประเทศที่ผู้บริโภคมีความตื่นตัวมากขึ้นเกี่ยวกับพลังงานสะอาด ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ผู้ประกอบการ ผู้ผลิตเล็งเห็นจุดนี้ จึงมีการขยายฐานการผลิตเข้ามาในเขต EEC ส่วนของคลังสินค้า เคอรี่ โลจิสติคส์ ตอนนี้มีลูกค้ากลุ่ม EV เข้ามาใช้บริการพอสมควร ทั้งในส่วนของยางรถยนต์ และ Spare part ต่างๆ บริษัทจึงต้องขยายพื้นที่คลังสินค้ารองรับลูกค้ากลุ่ม EV ที่คาดว่ามีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น” นายพงศ์ศิริ กล่าว
นายพงศ์ศิริ กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน คลังสินค้า เคอรี่ โลจิสติคส์ โซนระยอง ที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเหมราช อีสเทิร์นซีบอร์ด มีพื้นที่ให้บริการกว่า 36,000 ตารางเมตร และอยู่ระหว่างเตรียมขยายพื้นที่ให้บริการคลังสินค้าเพิ่ม เพื่อรองรับการเติบโตของทุกภาคอุตสาหกรรม โดยบริษัทมั่นใจว่าสามารถให้บริการลูกค้าได้ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม
“จากประสบการณ์ การให้บริการคลังสินค้ามากว่า 20 ปี บริษัทมั่นใจในศักยภาพ ความพร้อม มาตรฐานการให้บริการ และบุคลากรที่มีประสบการณ์สูง สามารถให้บริการลูกค้าทุกภาคอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจากประสบการให้บริการในอุตสาหกรรมยานยนต์มานาน เชื่อว่าลูกค้าผู้ประกอบการด้านยานยนต์ไฟฟ้า มีความเชื่อมั่น และใช้บริการคลังสินค้าของบริษัท” นายพงศ์ศิริ กล่าว
นายพงศ์ศิริ กล่าวว่า การที่ เคอรี่ โลจิสติคส์ ขยายฐานลูกค้าใหม่เพื่อให้มีความหลากหลายของทุกสินค้า และยังคงดูแลรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ โดยการให้บริการ ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้อง เหมาะสม และดีที่สุดกับสินค้าของทุกอุตสาหกรรม ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนลูกค้าที่ใช้บริการคลังสินค้า จากสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรม 34.32% กลุ่มยานยนต์ 22.60% กลุ่มแฟชั่นและไลฟสไตล์ 13.81% อาหารและเครื่องดื่ม 12.84% และอื่น ๆ 16.43%
