นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เข้าพบผู้บริหารกลุ่ม วิง ยิป เอเชียนซูเปอร์มาร์เก็ต วางแผนความร่วมมือนำเข้าสินค้าไทยเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะสินค้านวัตกรรม สินค้ารักษ์โลก ขยายตลาดความต้องการของลูกค้าในสหราชอาณาจักรและยุโรปทำงานใกล้ชิดกับทูตพาณิชย์
เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พร้อมด้วยทีมพาณิชย์เดินทางเข้าพบนายเจนนี่ เช็ค และนายเดวิด ยิป ผู้บริหารของห้างเอเชียนซูเปอร์มาร์เก็ตวิง ยิป ผู้นำเข้าสินค้าอาหารจากเอเชียมากกว่า 4,500 รายการ ยอดขายมากกว่า 4,500 ล้านบาทต่อปี และมีสินค้านำเข้าจากประเทศไทยมากกว่า 1,000 รายการ มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท/ปี อาทิ อาหารกระป๋อง เครื่องปรุงรสอาหารแช่แข็ง เครื่องดื่ม ข้าวหอมมะลิและอื่น ๆ อีกจำนวนมาก เพื่อหาช่องทางในการสร้างความร่วมมือผลักดันสินค้าไทยโดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มที่มีการพัฒนาด้านรูปแบบ บรรจุภัณฑ์ นวัตกรรม ตลอดจนสินค้าที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็น 1 ใน 10 นโยบายสำคัญของนายพิชัย ที่ให้กับกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องการส่งเสริมสินค้าที่รักษ์โลก และเป็นกลุ่มสินค้าที่ตรงกับความต้องการของตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป
นายพิชัย กล่าวว่า “ โอกาสของสินค้าไทยในต่างประเทศยังมีอีกมาก จึงเป็นหน้าที่ของ ทูตพาณิชย์ต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้นำเข้า เพื่อให้ทราบถึงความต้องการและสามารถแนะนำสินค้าไทยที่เหมาะสม จะสามารถขยายตลาดในสหราชอาณาจักรได้เพิ่มขึ้น ตลอดจนการจัดกิจกรรมร่วมกันอย่างใกล้ชิดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ และการหาผู้ผลิตรายใหม่ ๆ นำเสนอให้แก่ผู้นำเข้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันห้างส่วนใหญ่ในต่างประเทศจะนิยมนำเข้าสินค้าที่เป็นแบรนด์จากประเทศไทยและสินค้าที่สั่งผลิตเฉพาะห้างหรือ OEM ไทยจึงต้องมีความพร้อมและความหลากหลายเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลา” นายพิชัยกล่าวเสริม
ซึ่งเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับนายดักลาส อเล็กซานเดอร์ (The Rt Hon Douglas Alexander) รัฐมนตรีการค้าของสหราชอาณาจักร ได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่แน่นแฟ้น อันจะเป็นก้าวสำคัญของการยกระดับความสัมพันธ์ทางการค้าของไทยกับสหราชอาณาจักร และเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการเจรจาเอฟทีเอระหว่างกันในอนาคตด้วย ทั้งนี้ปัจจุบันประเทศไทยส่งออกสินค้าไปยังสหราชอาณาจักรมูลค่า 140,000 ล้านบาท เป็นสินค้าอาหารมากกว่า 28,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ซึ่งแนวโน้มขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง