นางสาวนุสรา กาญจนกูล อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า “สินค้าและบริการในชุมชนท้องถิ่นของไทยมีเอกลักษณ์โดดเด่นและมีศักยภาพในการแข่งขันทางการค้า ด้วยต้นทุนทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น การนำทรัพย์สินทางปัญญามาพัฒนาสินค้าและบริการจะเพิ่มแต้มต่อให้ผู้ประกอบการมีความเข้มแข็งในการดำเนินธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง กรมทรัพย์สินทางปัญญาเดินหน้าสร้างความรู้ ความเข้าใจถึงความสำคัญของทรัพย์สินทางปัญญาให้ผู้ประกอบการสินค้าชุมชนในแหล่งเที่ยว โดยมีผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การออกแบบโลโก้ไปจนถึงการยื่นขอรับความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ตลอดจนส่งเสริมช่องทางการตลาดทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์”
นางสาวนุสรา กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมฯ เริ่มโครงการนี้ ตั้งแต่ปี 2564 ได้ดำเนินการส่งเสริมสินค้าชุมชนในแหล่งท่องเที่ยวให้ได้รับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาและนำทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้เพิ่มมูลค่าสร้างรายได้ให้กับชุมชนแล้ว 8 จังหวัด ได้แก่ นครสวรรค์ ราชบุรี สมุทรสงคราม จันทบุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี มีสินค้าและบริการของชุมชนที่ได้รับการพัฒนาแล้วกว่า 83 สินค้า สร้างมูลค่าเพิ่มแล้วกว่า 25 ล้านบาท และในปีนี้ได้เลือกจังหวัดเชียงรายที่มีแหล่งท่องเที่ยว วัฒนธรรมและสินค้าชุมชนหลากหลายมีชื่อเสียง ซึ่งได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ ได้แก่ กาแฟ ชา ผลไม้อบแห้งผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสับปะรด ข้าว สินค้าหัตถกรรมเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เครื่องเงิน เป็นต้น ผู้ประกอบการที่ร่วมโครงการจะได้รับการติดอาวุธทางการค้าแบบครบวงจร ทั้งการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาการออกแบบตราสินค้า การสร้างแบรนด์ การปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ การส่งเสริมการตลาด การจัดแสดง และจำหน่ายสินค้า รวมทั้งเจรจาธุรกิจร่วมกับห้างสรรพสินค้าชั้นนำของประเทศ ในงาน IP Fair ซึ่งจัดขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคม 2568 โดยกรมฯ ตั้งเป้ายกระดับสินค้าชุมชนด้วยทรัพย์สินทางปัญญาให้ครอบคลุมพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศต่อไป”
“กรมฯ ได้ทำงานเชิงรุกเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการสินค้าชุมชนในแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงรายที่ร่วมโครงการฯ กว่า 24 กิจการ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเจาะกลุ่มตลาดใหม่ส่งออกสินค้าชุมชนมีเอกลักษณ์ให้ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ สร้างงานสร้างรายได้ เพิ่มคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีให้ชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป” นางสาวนุสรา กล่าว
