
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แม้ปี 2567 จะเป็นปีที่เผชิญกับความผันผวนของราคาน้ำมันและค่าการกลั่นที่อ่อนตัวลง ส่งผลให้กำไรปรับตัวลดลงจากปีก่อน กลุ่มบริษัทบางจากยังคงสร้างสถิติใหม่ของรายได้จากการขายและการให้บริการ 589,877 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องร้อยละ 53 EBITDA 40,409 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ (ที่ไม่รวมรายการพิเศษ) 6,120 ล้านบาท ผ่านการขับเคลื่อนของ 5 กลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจการตลาด ที่มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมัน 13,814 ล้านลิตร เติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่าร้อยละ 61 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ประกอบกับการรู้ Synergy สูงถึง 6,071 ล้านบาท เหนือกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 2,500 ล้านบาท หลังจากการควบรวมกิจการและรับรู้รายได้เต็มปีของบริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) (BSRC) สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและประสิทธิภาพของกลยุทธ์ที่กลุ่มบริษัทได้วางไว้ ตอกย้ำถึงศักยภาพและความมุ่งมั่นในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
ในส่วนของกำไรสำหรับงวดปี 2567 จากโครงสร้างธุรกิจที่มีความหลากหลายของกลุ่มบริษัท ทำให้สามารถชดเชยแรงกดดันบางส่วนจากอัตรากำไรการกลั่นที่อ่อนตัวลงและผลขาดทุนจากสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีกำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 2,184 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.30 บาท
ในขณะเดียวกัน โครงสร้างธุรกิจที่หลากหลาย ยังทำให้บริษัทฯ สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันและเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงินท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ผันผวนได้ มีโครงสร้างการเงินที่แข็งแกร่ง ยืนยันด้วยการปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของบางจากฯ โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เป็น A+ ซึ่งเป็นอันดับสูงสุดตั้งแต่บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับ
นอกจากนี้ บางจากฯ ยังได้รับการประเมินด้าน สิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) ในระดับสูงสุดของโลกด้านความยั่งยืน Top 1% ในกลุ่มอุตสาหกรรม Oil & Gas Refinery and Marketing ใน S&P Sustainability Yearbook 2025 โดย S&P Global Corporate Sustainability Assessment (CSA) ผู้จัดทำการประเมินความยั่งยืนดัชนี DJSI ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในระดับสากล
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการเมืองโลกในปี 2568 กลุ่มบริษัทบางจากเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการขยาย Synergy อย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ทั้งหมดให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างรอบคอบและระมัดระวัง กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันพร้อมผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ในไตรมาส 2 ด้วยกำลังการผลิต 1 ล้านลิตรต่อวัน ขณะที่กลุ่มธุรกิจการตลาดตั้งเป้าขยายสถานีบริการกว่า 100 แห่ง โดยมีเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำอันดับ 2 อย่างมั่นคง ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพเตรียมเปิดโรงงานเทคโนโลยีชีวภาพ (CDMO) แห่งแรกในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธุรกิจผลิตไฟฟ้าพร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจพลังงานสะอาดและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสีเขียว ผ่านการลงทุนในโครงการไฟฟ้าพลังงานสะอาดในพื้นที่ที่มีศักยภาพ โดยในปี 2568 จะมีโครงการโรงไฟฟ้าเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนาม 9 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในลาว 290 เมกะวัตต์ รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ไต้หวัน ซึ่งจะทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ รวมถึงการขยายการลงทุนในกลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและธุรกิจใหม่ โดยนำประสบการณ์ด้านสำรวจและผลิตปิโตรเลียมจากนอร์เวย์มาต่อยอดขยายการลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และตั้งเป้านำน้ำมันดิบที่ผลิตได้มาใช้ในโรงกลั่นทั้งสองแห่ง ช่วยสร้างความแข็งแกร่งและ Synergy ให้กับกลุ่มบริษัทบางจาก และเสริมความมั่นคงทางด้านพลังงานให้ประเทศยิ่งขึ้น

นางสาวภัทร์ภูรี ชินกุลกิจนิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานบัญชีและการเงิน รายงานผลการดำเนินงานที่สำคัญในปี 2567 ของแต่ละกลุ่มธุรกิจ ดังนี้
กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มี EBITDA 5,006 ล้านบาท ปรับลดลงร้อยละ 62 มีอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมาอยู่ที่ 258,000 บาร์เรลต่อวัน เติบโตกว่าร้อยละ 16
จากปีก่อน แม้ว่าโรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนงจะมีการปิดซ่อมบำรุงหน่วยกลั่นตามวาระ (Turnaround Maintenance) ในรอบ 3 ปี เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 แต่กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นศรีราชาที่สามารถดำเนินการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 147,800 บาร์เรลต่อวัน จากปี 2566 ที่ 101,900 บาร์เรลต่อวัน หนุนกำลังการผลิตของกลุ่มบริษัทบางจากเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความ
ท้าทายของราคาน้ำมันที่ผันผวนจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ค่าการกลั่นพื้นฐานลดลง สาเหตุหลักมาจาก Crack Spread ของกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักปรับตัวลง ส่งผลกดดันต่อค่าการกลั่นพื้นฐานปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปี 2566 ประกอบกับรับรู้ Inventory Loss (รวม NRV) 6,940 ล้านบาท หรือ 2.08 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
นอกจากนี้ บริษัท บีซีพี เทรดดิ้ง (BCPT) ยังได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของธุรกิจการกลั่นน้ำมันส่งผลให้มีธุรกรรมการซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเพิ่มขึ้น 63.3 ล้านบาร์เรลมาอยู่ที่ 112.7 ล้านบาร์เรล คิดเป็นมากกว่าร้อยละ 100 จากปีก่อน อีกทั้งยังเร่งขยายเครือข่ายซื้อขายน้ำมัน Out-Out อย่างต่อเนื่อง ทั้งน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ และเพิ่มช่องทางซื้อขายเพื่อเสริมความคล่องตัวในธุรกิจ
กลุ่มธุรกิจการตลาด มี EBITDA 5,577 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 มีปริมาณการจำหน่าย 13,814 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 61 จากปีก่อน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ปัจจัยหลักมาจากการขยายเครือข่ายสถานีบริการและการขยายฐานลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการปรับภาพลักษณ์แบรนด์บางจากและเปลี่ยนโลโก้ของสถานีบริการของ BSRC ที่ได้ดำเนินการเสร็จสมบูรณ์ทั่วประเทศเมื่อสิ้นปี 2567 ประกอบกับการปรับปรุงคุณภาพของสถานีบริการอย่างต่อเนื่อง มีส่วนช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์และเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ช่วยผลักดันยอดขายให้เติบโตอย่างโดดเด่น ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดผ่านสถานีบริการขยับขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 28.9 โดย ณ สิ้นปี 2567 มีสถานีบริการรวม 2,163 แห่ง สำหรับธุรกิจ Non-Oil มีร้านกาแฟอินทนิล 1,028 สาขา จุดชาร์จ EV กว่า 365 จุด และจุดจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่น FURiO กว่า 2,050 จุด
กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด ภายใต้การดำเนินงานโดยบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) มี EBITDA 4,817ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากปีก่อน รับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงการรับรู้ผลการดำเนินงานเต็มปีจากการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติ 4 แห่งในสหรัฐฯ และโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในลาวที่มีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่มีการหยุดการผลิตไฟฟ้าเป็นเวลา 6 เดือน เพื่อเตรียมขายไฟฟ้าไปยังการไฟฟ้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากการสิ้นสุด adder ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยได้ทั้งหมด อีกทั้งมีการรับรู้กำไรหลังหักภาษีจากการจำหน่ายไปซึ่งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น 2,159 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายน
กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ภายใต้การดำเนินงานโดยบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) มี EBITDA 972 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 46 โดยธุรกิจผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซล (B100) มีกำไรขั้นต้น
ปรับเพิ่มขึ้น จากปริมาณการจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมากกว่าร้อยละ 63 จากปีก่อน ตามความต้องการซื้อภายในกลุ่มบริษัทบางจากที่สูงขึ้น หลังจาก BSRC เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัทบางจาก ทำให้มีอัตราการใช้กำลังการผลิตตลอดทั้งปีสูงกว่าผู้ผลิตรายอื่น ๆ ในตลาด
กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและธุรกิจใหม่ มี EBITDA 24,815 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 จากปีก่อน โดยมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องและการรับรู้ผลการดำเนินงานจากแหล่งปิโตรเลียม Statfjord ที่ได้รับโอนสิทธิ์เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2566 และแหล่งผลิต Hasselmus ที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม 2566 หนุนปริมาณการขายเติบโตกว่าร้อยละ 33 จากปีก่อน รวมถึงแหล่งผลิต Brage ที่ได้รับโอนกิจการมาจาก Wintershall Dea โดยมี OKEA เป็นผู้ดำเนินการ (Operator) ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2565 ที่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 142,246 ล้านบาท มี EBITDA 7,167 ล้านบาท รับรู้ขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ทั้งสิ้น 806 ล้านบาท และขาดทุนที่เกิดขึ้นจาก Inventory Loss 2,258 ล้านบาท (รวมขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (NRV)) จากราคาน้ำมันอ่อนตัวลง โดยมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ (ที่ไม่รวมรายการพิเศษ) 1,799 ล้านบาท
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 อนุมัติให้นำเสนอจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดครึ่งปีหลังของปี 2567 ในอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้น เมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกของปี 2567 ในอัตรา 0.60 บาทต่อหุ้น จะรวมเป็นเงินปันผลที่จ่ายในปี 2567 ในอัตรา 1.05 บาทต่อหุ้น โดยวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลเป็นวันที่ 14 มีนาคม 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 24 เมษายน 2568