
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อเร็วๆ นี้ว่า จากที่ตนได้มอบนโยบายการทำงานเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคธุรกิจไปสู่การปฏิบัติงานที่เป็นรูปธรรม ภายหลังรับฟังการรายงานผลการดำเนินงานถือว่าเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก ได้เห็นนโยบายที่เปลี่ยนไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมในหลายด้าน เริ่มจาก ‘นโยบายกำกับดูแลและสร้างธรรมาภิบาลธุรกิจ’ ที่รัฐบาลให้ความสำคัญและกำชับให้ดำเนินการเร่งด่วน โดยเฉพาะการแก้ปัญหานอมินีและบัญชีม้านิติบุคคล แต่ด้วยอำนาจหน้าที่ของกรมฯ ที่มีอยู่อย่างจำกัด จึงได้ตั้งคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) ที่ตนเป็นประธานและคณะทำงานเพื่อบูรณาการอำนาจทางกฎหมายของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาทำงานร่วมกัน ซึ่งจะมีความรวดเร็วในการติดตามและจับกุมผู้กระทำผิด โดยปี 2568 จะลงพื้นที่ตรวจสอบนิติบุคคล 26,830 ราย ในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว ค้าที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ e-Commerce/ขนส่ง/คลังสินค้า ตนได้เน้นย้ำให้กรมฯ ทำงานส่วนนี้ให้เต็มที่ พร้อมนำเทคโนโลยีมาช่วยในการทำงาน ซึ่งอยู่ระหว่างการนำแนวทางนี้ไปพัฒนาระบบวิเคราะห์พฤติกรรมนิติบุคคล (IBAS) ที่จะช่วยติดตามความผิดปกติในการทำธุรกิจของนิติบุคคลเพื่อตัดไฟแต่ต้นลมก่อนที่จะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจในประเทศ
รมช.พณ. กล่าวต่อว่า “สำหรับ ‘นโยบายส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ’ ผมมุ่งเน้นการเสริมแกร่งให้ผู้ประกอบการ SME ไทย โดยกรมฯ ได้ส่งเสริมธุรกิจในกลุ่มต่างๆ เช่น แฟรนไชส์ที่มีเป้าหมายสูงสุดในการพาไปบุกตลาดต่างประเทศ ธุรกิจร้านอาหารไทยที่ยกระดับมาตรฐานภายใต้ตราสัญลักษณ์ THAI Select และส่งเสริมการตลาดให้เป็นที่รู้จัก เป็น Soft Power ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ สุขภาพและความงาม โลจิสติกส์ เป็นธุรกิจบริการที่รองรับความต้องการและพฤติกรรมของคนในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และธุรกิจโชห่วย ที่ปีนี้จะเพิ่มกลุ่มร้านค้าโชห่วยทั่วไป ไปสู่ร้านขายยา ร้านสินค้าเบ็ดเตล็ด เครื่องเขียน อุปกรณ์เบเกอรี่ ก่อสร้าง และอุปกรณ์การเกษตร เป็นต้น ซึ่งธุรกิจดังกล่าวจะได้พัฒนาผ่านการอบรมให้ความรู้ การพัฒนามาตรฐานธุรกิจ การหาทำเลการค้า การเชื่อมโยงแหล่งทุน การเจรจาธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการ SME ไทยเติบโตอย่างเข้มแข็ง
ทั้งนี้ ‘นโยบายพัฒนาการจดทะเบียนและข้อมูลธุรกิจ’ ผมได้เคยมอบนโยบายให้กรมฯ พัฒนางานบริการผ่านอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ที่ผ่านมากรมฯ ได้ปรับกระบวนงานและรูปแบบการใช้งานระบบให้เป็นออนไลน์ที่ง่ายเพื่อดึงดูดให้มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น ในเดือนต.ค.-ก.พ.68 มีผู้ใช้งานผ่านระบบออนไลน์ต่อ walk-in คิดเป็นสัดส่วน 80:20ของคำขอใช้บริการจดทะเบียนนิติบุคคลและข้อมูลธุรกิจของกรมฯ เพิ่มจากปีงบประมาณ 2567 ที่มีสัดส่วน 75:25 โดยกลางปีนี้กรมฯ พร้อมที่จะให้บริการระบบออนไลน์แบบ 100% ทั้งการจดทะเบียนนิติบุคคลดิจิทัล (Biz Regist) การยื่นคำขอรับใบอนุญาต/หนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวออนไลน์ (DBD e-Foreign Business) ระบบออกหนังสือรับรองนิติบุคคล (e-Service) และระบบอื่นๆ ซึ่งจะทำให้บริการจดทะเบียนและข้อมูลธุรกิจของกรมฯ สะดวกสบายต่อผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น และตนยังได้ย้ำให้กรมฯ เร่งจูงใจให้ผู้ใช้บริการเลือกใช้งานผ่านออนไลน์มากขึ้นเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนของภาครัฐ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาไปสู่รัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย