
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของประเทศ คต. ในฐานะหน่วยงานที่ให้บริการขึ้นทะเบียนผู้ส่งออกที่ได้รับสิทธิรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง หรือ Self-Certification เพื่อให้ผู้ส่งออกสามารถรับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรกับประเทศคู่ค้าของไทยได้ คต. จึงได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้จัดทำระบบ Self-Certification เพื่อรองรับการขึ้นทะเบียนให้แก่ผู้ส่งออกที่ต้องการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองเพื่อใช้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร ปัจจุบันระบบดังกล่าวรองรับการขึ้นทะเบียน 3 กรอบความตกลง ได้แก่ (1) การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองตามความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Wide Self-Certification: AWSC) (2) การได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ในการส่งออกไปสมาพันธรัฐสวิสและราชอาณาจักรนอร์เวย์ (Registered Exporter System: REX System) และ (3) การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP)
เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องการผลักดันการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้เกิดความเชื่อมโยงข้อมูลของทุกระบบงานเข้าด้วยกัน เพื่อให้ผู้ส่งออกได้รับการบริการที่สะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอนการดำเนินการ และลดภาระค่าใช้จ่าย คต. จึงได้ยกระดับการพัฒนาระบบ Self-Certification ขึ้นอีกระดับ ให้เป็นระบบ Single Entry โดยเชื่อมโยงระบบ Self-Certification เข้ากับระบบ DFT SMART-I เพื่อให้ผู้ส่งออกสามารถใช้ Username เดียวกันกับระบบ DFT SMART-I ในการเข้าใช้งานระบบ Self-Certification อีกทั้งยังสามารถเข้าใช้งานระบบงานอื่นๆ ของ คต. ได้ด้วย Username เดียวกันอีกด้วย
นางอารดาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 เป็นต้นไป คต. จะเริ่มใช้ระบบ Single Entry ในการเข้าใช้งานระบบ Self-Certification จึงขอให้ผู้ส่งออกที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนในระบบ DFT Smart-I ดำเนินการขึ้นทะเบียนให้เรียบร้อยตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ ผู้ส่งออกสามารถศึกษาวิธีการขึ้นทะเบียนของระบบ DFT Smart-I ได้ผ่านเว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศ (https://smart-1.dft.go.th/) หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1385