นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานปีบัญชี 2565 (1 กรกฎาคม 2564 – 30 มิถุนายน 2565) ว่า กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิ 486 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 446 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิที่สูงขึ้นเป็น 16.5% สูงกว่าปีก่อน อยู่ที่ 13.7% แม้ว่าอัตราภาษีที่แท้จริงจะเพิ่มขึ้นเป็น 18% จากปีบัญชีก่อนหน้าที่ 14.9%
ทั้งนี้บริษัทยังคงรักษาความสามารถการทำกำไรได้ดี โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) ในระดับ 64.7% เพิ่มขึ้น 5.1% จากปีก่อนอยู่ที่ 59.61% เป็นผลจากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาด สัดส่วนของสินค้า และการบริหารช่องทางจัดจำหน่าย ควบคุมค่าใช้จ่ายรอบด้าน ทั้งยังมีการป้องกันความเสี่ยงจากการขึ้นราคาวัตถุดิบ ส่งผลให้กำไรขั้นต้นพุ่งสูงขึ้น แม้รายได้จากการขายสินค้ารวมลดลง
นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า ในปีบัญชี 2565 บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้ารวม 2,923 ล้านบาท ลดลง 9.2 % จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สาเหตุสำคัญมาจากช่องทางจำหน่ายออฟไลน์ ซึ่งเป็นช่องทางหลักของยอดขายรวมยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 โดยช่องทางร้านค้าปลีกตัวเอง (Freestanding Shop) มียอดขายจำนวน 1,792 ล้านบาท, ห้างสรรพสินค้า (Department Store) จำนวน 664 ล้านบาท, ซูเปอร์สโตร์ (Superstore) จำนวน 19 ล้านบาท และช่องทางออนไลน์ (E-Commerce) จำนวน 303 ล้านบาท
“การทำธุรกิจ ในสภาวะเศรษฐกิจไทยและอุตสาหกรรมค้าปลีก ตลอดจนการอุปโภคบริโภค ในประเทศได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19 และสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ส่งผลให้ระดับราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น แต่ด้วยกลยุทธ์ของบริษัทที่เน้นทำ Product Mix ,การเปิดตัวแคมเปญ MY MC MY WAY ชีวิตเต็มแม็ค, การเปิดสาขา Mc Outlet ที่เปิดได้ครบตามเป้าหมาย 72 สาขา ทำให้ผลดำเนินงานเติบโตได้แข็งแกร่ง หนุนส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นแตะ 3,675 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 3,603 ล้านบาท ขณะที่อัตราผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ13.4% จากปีก่อนอยู่ที่ 12.4% และยังคงมีนโยบายจ่ายเงินปันผลกับผู้ถือหุ้นต่อเนื่อง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แม็คกรุ๊ป กล่าว
สำหรับฐานะการเงินของบริษัท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 ยังคงเป็นบริษัทที่ไม่มีหนี้เงินกู้กับสถาบันการเงิน และไม่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะเดียวกันมีเงินสดในมือเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,995 ล้านบาทจากปีก่อน 1,864 ล้านบาท การบริหารสินค้าคงคลังก็ทำได้ดีลดลงมาอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท จากปีก่อน 1,250 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวเพิ่มเติม ถึงทิศทางการทำธุรกิจในปีบัญชี 2565 / 2566 ว่า มีทิศทางที่ดีขึ้น ต่อเนื่องภายหลังได้เปิดประเทศ เห็นสัญญาณการกลับมาจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นชัดเจนในไตรมาสสุดท้ายของปีบัญชี 2565 ประกอบกับการกลับเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะสนับสนุนให้จีดีพี ประเทศขยายตัว ซึ่งในปีหน้า MC GROUP ตั้งเป้ากำไรเติบโตเลข 2 หลัก