ttb analytics ประเมินมูลค่าส่งออกไทยเสี่ยงชะลอตัวระยะยาว 

Date:

การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics มองนโยบายภาษีของทรัมป์ในปัจจุบัน (Trump 2.0) เร่งให้พลวัตการค้าโลกย้อนกลับไปสู่ “ยุคของการกีดกันทางการค้า” หรือ Protectionism เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ส่งผลกระทบต่อไทยซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจแบบระบบเปิดขนาดเล็ก (Small-open Economy) โดยผลจากการปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา ที่มีต่อภาคส่งออกไทยจะส่งผ่านมาทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งจะกระทบต่อสินค้าในหลายหมวด ได้แก่ (1) กลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบสูง เช่น คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์เครือข่ายและการสื่อสาร เครื่องใช้ไฟฟ้า (2) กลุ่มที่ได้รับผลกระทบปานกลาง เช่น เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ยางพารา เฟอร์นิเจอร์และของใช้ในบ้าน และ (3) กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจำกัด เช่น กลุ่มสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป เป็นต้น 

หลังจากที่โลกบอบช้ำจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากผลพวงของการตอบโต้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ (Smoot-Hawley Tariff Act) ในช่วงปี 2473 (ค.ศ. 1930) ทำให้ทั่วโลกหันกลับมาฟื้นฟูเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอีกครั้ง จนมีส่วนทำให้โลกเปลี่ยนผ่านจากยุคของการกีดกันทางการค้า (Protectionism) ไปสู่ยุคของโลกาภิวัตน์ (Globalization) อย่างเต็มตัวได้ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 อย่างไรก็ดี ในปี 2568 “สงครามการค้าและนโยบายภาษีของสหรัฐฯ” กลายเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้โลกซึ่งอยู่ระหว่างการทวนกลับของโลกาภิวัตน์ (De-globalization) มีการปรับเปลี่ยนระบบการค้าโลกเชิงพลวัตครั้งใหญ่จนอาจกลับไปสู่ “ยุคของการกีดกันทางการค้า” เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เห็นได้จากประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่หันไปพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศเพิ่มขึ้นในระยะหลัง แนวโน้มการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ (Re-shoring) เพื่อเลี่ยงผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้า ซึ่งนั่นหมายความว่า โลกนับจากนี้จะมีแนวโน้มพึ่งพาซึ่งกันและกันลดลง ประเทศที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศสูงอาจเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าของทรัมป์ (Trump 2.0) 

ทั้งนี้ แม้ล่าสุดทรัมป์ประกาศเลื่อนการเก็บภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) ออกไปชั่วคราว และจัดเก็บอัตราภาษีนำเข้าแบบถ้วนหน้า (Universal Tariff) ที่ระดับ 10% (ยกเว้นจีน 145%)  ttb analytics มองว่า อัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บในยุคของทรัมป์อาจไม่สามารถกลับไปที่ระดับเดิมในปี 2567 (อัตราภาษีสินค้านำเข้าจากทุกประเทศเฉลี่ยอยู่ที่ 2.4% อ้างอิงจากข้อมูลคณะกรรมการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ) แม้คู่ค้าหลักจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ได้แล้วก็ตาม ซึ่งการยกระดับนโยบายกีดกันทางการค้าภายใต้ Trump 2.0 จะยิ่งทำให้ภูมิทัศน์การค้าโลกมีความตึงเครียดขึ้น และจะส่งผลให้ภาคส่งออกไทยมีแนวโน้มลดลงในระยะยาว สะท้อนผ่านการวิเคราะห์การตอบสนองต่อสิ่งรบกวน (Shock) จากการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ต่อมูลค่าการส่งออกไทยผ่านแบบจำลองการตอบสนองอย่างฉับพลัน (Impulse Response Function : IRF) ในระหว่างปี 2553-2567 ซึ่งพบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นชั่วคราวในช่วง 1-4 ไตรมาสแรกหลังจากการ (ส่งสัญญาณ) ขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ แต่กลับจะส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้ามีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยในระยะยาว ซึ่งผลกระทบสะสมยังคงรุนแรงแม้จะผ่านไปแล้ว 24 ไตรมาส

ttb analytics ประเมินว่า หากสหรัฐฯ ใช้การจัดเก็บภาษีนำเข้าในระดับเดียวกันทั้งหมด (ยกเว้นจีน) ในอัตราภาษี Universal Tariff 10% และอัตราภาษีนำเข้าเฉพาะกลุ่มสินค้า (Sectoral Tariff) 25% อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัย แต่หากกรณีเลวร้ายที่สุด (Worst Case) ซึ่งไทยอาจยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด และถูกจัดเก็บอัตราภาษีนำเข้าซึ่งอ้างอิงจาก Reciprocal Tariff ที่ระดับ 36% และสูงกว่าประเทศคู่แข่งหลาย ๆ ประเทศ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยสูงถึง 1.1% ของจีดีพีภายในระยะเวลา 1 ปี (ซึ่งยังไม่นับรวมผลกระทบต่อเศรษฐกิจทางอ้อมในรูปแบบอื่น) เนื่องจากไทยเป็นประเทศระบบเปิดขนาดเล็ก (Small-open Economy) และมีสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยด้วยมูลค่าส่งออกคิดเป็นเกือบ 9% ของจีดีพี โดยสามารถแบ่งรูปแบบของผลกระทบต่อภาคส่งออกได้เป็น   

ผลกระทบทางตรง

1 กลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง และมีความเสี่ยงสูญเสียส่วนแบ่งตลาดจากการที่ไทยถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าคู่แข่งค่อนข้างมาก เช่น คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ อุปกรณ์เครือข่ายและการสื่อสาร และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกจัดเก็บภาษีนำเข้าค่อนข้างต่ำมากอยู่แล้ว ทำให้การที่ไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าสูงหรือสูงกว่าประเทศคู่แข่งอย่างมีนัย จึงมีความเสี่ยงที่ไทยจะเสียส่วนแบ่งตลาดจากการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ซึ่งอาจทำให้สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากแหล่งอื่นทดแทนได้ 

2 กลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูงขึ้นอย่างมีนัย ซึ่งมีความเสี่ยงจะเจอมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ผลิตในประเทศเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ และกลุ่มที่จีนต้องการส่งออกไปสหรัฐฯ ผ่านไทย (Re-routing) ทำให้ส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยในระยะหลัง ซึ่งส่งผลให้สินค้าที่ส่งออกจากไทยไปสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าเป็นกรณีพิเศษตามมาตรา 201 ที่อ้างถึงเหตุผลของการใช้มาตรการในกรณีที่สินค้านำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างกระทันหันและมีนัยสำคัญ (Safeguard Protection) เช่น แผงโซลาร์  เครื่องซักผ้า เหล็ก และอะลูมิเนียม รวมถึงมาตรา 232 ว่าด้วยการอ้างถึงเหตุผลของการใช้มาตรการเพื่อปกป้องความมั่นคงของประเทศ (National Security) เช่น ยางรถยนต์ ซึ่งการเข้ามาลงทุนของบริษัทจีนในไทยกลายเป็นความเสี่ยงที่ทำให้สินค้าจากไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ อาจถูกตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้า (Country of Origin) และนำมาซึ่งการถูกดำเนินมาตรการกีดกันการค้าเพิ่มเติมได้ในระยะข้างหน้า

    ผลกระทบทางอ้อม 

    1 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก (และเศรษฐกิจสหรัฐฯ) ชะลอตัว โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่มีความอ่อนไหวต่อวัฎจักรเศรษฐกิจ (Cyclical Goods) และกลุ่มที่มีการพึ่งพาผู้บริโภคปลายทางในสหรัฐฯ เช่น สินค้าไม่จำเป็นหรือสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น เฟอร์นิเจอร์ ของใช้ในบ้าน สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อัญมณีและเครื่องประดับ 

    2 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว โดยเป็นกลุ่มสินค้าที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานจีนที่รองรับการผลิตเพื่อส่งต่อไปสหรัฐฯ รวมถึงผลกระทบจากกำลังซื้อชาวจีนชะลอตัวตามทิศทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะกระทบการส่งออกสินค้าวัตถุดิบขั้นต้นและขั้นกลาง (Input and Intermediate Goods) ที่จีนต้องการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ เช่น เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ยางพารา และผลิตภัณฑ์ยาง ตลอดจนสินค้าอุปโภคบริโภคที่รองรับตลาดผู้บริโภคจีนโดยตรง อย่างไรก็ดี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐานเพื่อรองรับอุปสงค์ภายในประเทศคาดว่าจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบไม่มากนัก เช่น กลุ่มสินค้าผักผลไม้ เนื้อสัตว์และอาหารแปรรูป 

    3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดอาเซียนสูงและมีความเสี่ยงที่จะถูกสินค้าจีนแย่งส่วนแบ่งตลาดอาเซียน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดอาเซียนให้แก่สินค้าจีนในหลายกลุ่มสินค้า ส่วนหนึ่งมาจากความซับซ้อนในกระบวนการผลิตและมูลค่าเพิ่มของสินค้าอุตสาหกรรมไทยมีความใกล้เคียงกับสินค้าจีนและมาเลเซีย จึงเสี่ยงถูกทดแทนได้ง่าย โดยเฉพาะการถูกทดแทนจากสินค้าจีนที่มีต้นทุนต่ำกว่า ส่งผลให้ส่วนแบ่งไทยในตลาดอาเซียนลดลง ขณะเดียวกันกับที่สินค้าจีนครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก เครื่องหนัง เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์ยาง

    4 กลุ่มอุตสาหกรรมที่เผชิญการแข่งขันรุนแรงขึ้นจากปัญหาสินค้าจีนทะลักตลาดในประเทศ นับตั้งแต่หลังสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนระลอกแรกในช่วงปี 2560 ยิ่งทำให้ภาคการผลิตจีนเข้ามาแทนที่ภาคการผลิตไทยรุนแรงขึ้น ในขณะเดียวกัน ผู้ผลิตและผู้ประกอบการในประเทศยังเป็นกลุ่มที่จะเผชิญกับปัญหาสินค้าจีนทะลักเข้ามารุนแรงมากขึ้นจากปัญหาอุปทานส่วนเกิน (Oversupply) ของจีน เช่น กลุ่มสินค้าเหล็ก เครื่องใช้ไฟฟ้า และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นต้น 

      กล่าวโดยสรุป ในปี 2568 แนวนโยบายการค้า Trump 2.0 ซึ่งมุ่งเน้นการเจรจาต่อรองกับประเทศที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ กำลังกลายเป็นดาบสองคมต่อทั่วโลกและอาจนำมาซึ่งการโดดเดี่ยวของสหรัฐฯ ชัดเจนขึ้น โดยแม้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างเต็มรูปแบบจะถูกเลื่อนออกไปชั่วคราว แต่คาดว่าจะเพิ่มความไม่แน่นอนทางการค้าและตลาดการเงินโลกในระยะข้างหน้า และจะเป็นแรงกดดันให้ผู้ประกอบการต้องเร่งรับมือจากการเบี่ยงเบนของห่วงโซ่อุปทานโลก ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการควบคุมกฎแหล่งกำเนิดสินค้าที่เข้มข้น ควบคู่กับการยกระดับศักยภาพความสามารถในการแข่งขันรองรับการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไป

      Share post:

      spot_img
      spot_img

      Related articles

      บสย. ผงาด เป็น “สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ”

      บสย. ผงาด เป็น “สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ” รัฐบาลให้ทุนประเดิมใหม่อีก 1 หมื่นล้าน

      ธปท. กำหนดแบงก์โอนไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อวัน ป้องกันมิจฉาชีพ

      ธปท. กำหนดแบงก์ให้เด็กและผู้สูงอายุโอนไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อวัน ป้องกันมิจฉาชีพหลอกลวง

      CIMB THAI ได้ปรับเพิ่เครดิตในประเทศเป็น ‘AA’

      CIMB THAI ได้ปรับเพิ่มเครดิตในประเทศเป็น ‘AA(tha)’ จากฟิทช์ สะท้อนความแข็งแกร่งทางการเงิน ซัปพอร์ตจากธนาคารแม่ 

      “สรวงศ์” ปัดข่าว ”เพื่อไทย“ ดัน “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯ

      “สรวงศ์” ปัดข่าว ”เพื่อไทย“ ดัน “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯ มั่นใจ นายกฯ แพทองธาร รอดปมคลิปเสียง 29 สค.นี้ ชี้ ข่าวลือ 5 ต่อ 4 เสียงกดดันศาลรธน. ไม่ได้