นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2565 ว่า ครม.เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้าระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงการต่างประเทศแห่งมองโกเลีย และเห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย – มองโกเลีย ครั้งที่ 1 ซึ่งประเทศมองโกเลียเป็นภาพจัดประชุมระหว่างวันที่ 5 – 6 กันยายน 2565 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ร่างบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ในการส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า การลงทุน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ รวมถึงการหารือในประเด็นอื่นๆ ที่สนใจร่วมกัน ซึ่งการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้ากำหนดจัดขึ้นทุก 2 ปี โดยประธานมาจากผู้แทนที่ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกัน ส่วนกรรมการจะเป็นผู้แทนภาครัฐและเอกชนจากทั้งสองฝ่าย เพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจากสองประเทศ ทั้งนี้ ร่างบันทึกความเข้าใจมีผลบังคับใช้ 5 ปี และต่ออายุ 5 ปีอัตโนมัติ เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแจ้งยกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรต่ออีกฝ่าย
สำหรับท่าทีไทยที่ใช้เป็นกรอบหารือในการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย – มองโกเลีย ครั้งที่ 1 ครอบคลุมความร่วมมือหลายมิติ อาทิ
1.การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ไทยจะขอให้มองโกเลียร่วมผลักดันมูลค่าการค้ารวมระหว่างสองประเทศ ตั้งเป้า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2570 เพื่อให้สอดรับกับแผนความร่วมมือระยะ 5 ปี ไทย – มองโกเลีย (พ.ศ.2565 – 2570) ใน 5 สาขา ได้แก่ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม การเกษตร และความร่วมมือทางวิชาการ
2.ไทยจะผลักดันการจัดทำความตกลงว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำร่างความตกลงร่วมกับมองโกเลีย
3.ไทยเสนอให้มีการทบทวนอนุสัญญาเพื่อยกเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงภาษีในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้ร่วมกับมองโกเลีย เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในปัจจุบัน เช่น กรอบความร่วมมือ Inclusive framework ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีและสร้างความเป็นธรรมในการเก็บภาษีแก่ประเทศต่างๆ เป็นต้น
4.ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อาทิ (1)ด้านการเกษตร : มองโกเลียจะจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางการเกษตรกับไทย รวมทั้งพิจารณาเปิดตลาดนำเข้าสินค้าศักยภาพของแต่ละฝ่าย ซึ่งข้อมูลในปี 2564 สินค้าหลักที่ไทยนำเข้าจากมองโกเลีย คือ สินแร่โลหะ ส่วนสินค้าส่งออกไปมองโกเลีย ได้แก่ กระดาษ ตู้เย็น ตู้แช่แข็ง เป็นต้น (2)ด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ ไทยจะเปิดเส้นทางบินตรงระหว่างอูลานบาตาร์ (เมืองหลวงของมองโกเลีย) – ภูเก็ต (3)ด้านการท่องเที่ยว ไทยจะส่งเสริมให้คนมองโกเลียมาเที่ยวไทยและส่งเสริมการท่องเที่ยวรูปแบบอื่น ๆ เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (4)ด้านโครงสร้างพื้นฐาน มองโกเลียต้องการให้นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในกิจการรีไซเคิลขยะและพลังงานหมุนเวียน และ (5)ด้านความร่วมมือทางวิชาการ ไทยพร้อมให้ความช่วยเหลือทางวิชาการแก่มองโกเลีย เช่น การฝึกอบรมบุคลากรด้านเกษตร สาธารณสุข เป็นต้น
“การประชุมครั้งนี้ จะช่วยกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างไทยกับมองโกเลีย รวมถึงขยายโอกาสทางการค้าการลงทุนระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งไทยจะได้รับประโยชน์ในการนำเข้าแร่ธาตุ เช่น ทองแดง ถ่านหิน ดีบุก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญของภาคอุตสาหกรรม อีกทั้งมองโกเลียยังจะเป็นประตูบานใหม่ที่จะเปิดสู่ตลาดรัสเซียและกลุ่มประเทศยูเรเซียได้” นางสาวรัชดากล่าว