
คุณปรียดา ศรีพิบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามฟูด เซอร์วิส จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2568 อุตสาหกรรมอาหารในประเทศไทย และระดับภูมิภาค พฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงชัดเจน โดยเน้นที่คุณภาพความปลอดภัย ความสะดวก และการตอบโจทย์เฉพาะทางมากขึ้น โดยในอีก 3 ปีข้างหน้าเรามองว่าในอนาคตอันใกล้ ความสามารถในการรองรับความต้องการที่หลากหลายและตอบโจทย์เฉพาะของลูกค้าแต่ละกลุ่มธุรกิจ จะเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตในอุตสาหกรรมอาหาร ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ต้องการสินค้า ready-to-eat, กลุ่มที่เน้นสูตรเฉพาะ หรือธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่นด้านปริมาณและบรรจุภัณฑ์ เราตั้งใจพัฒนาศักยภาพของเราให้พร้อมรองรับโจทย์เหล่านี้ได้ครบวงจรและแม่นยำยิ่งขึ้น
ทั้งนี้เห็นได้จากการแข่งขันในอุตสาหกรรมอาหาร โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ Food Service ซึ่งการแข่งขันไม่ได้จำกัดแค่เรื่องราคา แต่คือความสามารถในการส่งมอบโซลูชันที่ตอบโจทย์เฉพาะของแต่ละธุรกิจ เราจึงยกระดับความสามารถในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโรงงานผลิตเพื่อควบคุมคุณภาพหรือการนำเสนอผลิตภัณฑ์แบบ customized ที่สามารถพัฒนาร่วมกับลูกค้าได้ เราไม่ได้มองตัวเองเป็นเพียงผู้จำหน่ายวัตถุดิบอีกต่อไป แต่คือผู้ให้บริการรอบด้านที่เข้าใจบริบทของลูกค้า และเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่สามารถไว้วางใจได้

“ธุรกิจอาหารในประเทศไทยวันนี้เผชิญกับความท้าทายที่หลากหลาย ตั้งแต่การแข่งขันด้านต้นทุน ความผันผวนของราคาโภคภัณฑ์ ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไปจนถึงความจำเป็น ในการสร้างความแตกต่างในตลาดที่อิ่มตัว เรามองว่าความท้าทายที่สำคัญที่สุดคือการตอบโจทย์ให้ตรงกับ ความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ซึ่งไม่สามารถใช้แนวทางเดียวกันได้ทั้งหมด เพราะลูกค้าในกลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร, เบเกอรี่, โรงงานผลิต หรือแม้แต่โมเดิร์นเทรด ล้วนมีบริบททางธุรกิจและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ดังนั้นแนวทางของเราคือการเป็นมากกว่าผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบ เราต้องการเป็น ‘พาร์ทเนอร์ธุรกิจ’ ที่สามารถให้คำปรึกษาและร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือโซลูชันที่สอดคล้องกับเป้าหมายของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับทั้งสองฝ่ายในระยะยาว”

คุณปรียดา กล่าวว่า เพื่อเป็นการยกระดับความสามารถทางธุรกิจ เราได้มีโรงงานผลิตแบบครบวงจร (Production Facility)ใหม่ โดยมีการนำเทคโนโลยีอัตโนมัติ (Automation) มาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐานสากลอย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่ขั้นตอนการแปรรูป บรรจุ ไปจนถึงการตรวจสอบคุณภาพ ทำให้ลดการพึ่งพาแรงงาน ลดความผิดพลาดจากมนุษย์ และสามารถผลิตซ้ำได้อย่างแม่นยำในทุกล็อต นอกจากนี้ระบบยังช่วยให้สามารถจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น ตอบสนองคำสั่งผลิตเฉพาะทางได้รวดเร็วขึ้น และที่สำคัญสามารถขยายกำลังการผลิตได้ยืดหยุ่นในอนาคต โดยไม่กระทบต่อคุณภาพ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจอาหารในยุคที่ทุกอย่างต้องรวดเร็ว แม่นยำ และตอบโจทย์เฉพาะทางมากขึ้น

“เรามุ่งสู่มากกว่าการเป็น food distributor แบบดั้งเดิม แต่คือผู้ให้บริการ Total Food Solutions ที่ครอบคลุมตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบ การแปรรูป การพัฒนาแบรนด์ร่วมกับลูกค้า ไปจนถึงระบบจัดส่งที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยในอีก 2–3 ปีข้างหน้า จะลงทุนเพิ่มเติมในด้านระบบข้อมูลลูกค้า (customer intelligence), การบริหารซัพพลายเชนแบบเรียลไทม์ และการขยายบริการพิเศษ เช่น เมนูพร้อมใช้ (ready-to-use), โซลูชัน OEM, รวมถึงการร่วมพัฒนาโปรดักต์กับเชฟ และผู้ประกอบการในแต่ละกลุ่มธุรกิจ อีกทั้งเป้าหมายที่สำคัญคือการเป็นพาร์ทเนอร์ที่เข้าใจธุรกิจอาหารในทุกมิติ ไม่ว่าจะขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ และสามารถให้บริการได้แบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางอย่างแท้จริง”
