
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือทวิภาคีกับนายโอกูชิ มาซากิ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น ซึ่งจัดขึ้นในห้วงการประชุมคณะมนตรี OECD ประจำปี ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือและการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับญี่ปุ่น พร้อมทั้งเชิญชวนญี่ปุ่นลงทุนเพิ่มในอุตสาหกรรมชั้นนำอื่น ๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแห่งอนาคต อาทิ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI)
นายพิชัย กล่าวว่า ญี่ปุ่นถือเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดและเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยโดยเป็นคู่ค้าอันดับ 3 และเป็นนักลงทุนสะสมอันดับ 1 ของไทยมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานและมีบริษัทญี่ปุ่นลงทุนในไทยประมาณ 6,000 บริษัท โดยรัฐบาลชุดปัจจุบันของไทยได้ให้ความสำคัญต่อการปรับปรุงกฎระเบียบด้านการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติ ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นและเอื้อต่อการเข้ามาลงทุนของต่างชาติรวมทั้งญี่ปุ่น
โดยการหารือกับ นายโอกูชิ มาซากิ ตนได้เชิญชวนนักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาขยายการลงทุนในไทยเพิ่มเติมโดยเฉพาะอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ญี่ปุ่นมีศักยภาพ อาทิ ดาต้าเซนเตอร์ ดิจิทัล แผงวงจรพิมพ์ (PCB) การแพทย์และเทคโนโลยีชีวภาพและเทคโนโลยีหุ่นยนต์ เพื่อรักษาให้ไทยเป็นฐานการผลิตและห่วงโซ่อุปทานสำคัญของญี่ปุ่น
“นอกเหนือจากเรื่องการค้าการลงทุนแล้ว ผมยังได้เสนอให้ไทยและญี่ปุ่นมีความร่วมมือในสาขาเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียวซึ่งเป็นสาขาที่ญี่ปุ่นมีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้ภาคเอกชนไทยได้เรียนรู้การนำเทคโนโลยี AI และดิจิทัลของญี่ปุ่นมาปรับปรุงระบบการผลิตและพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนไทยให้ดียิ่งขึ้น และพร้อมรับมือกับความท้าท้ายและการปรับตัวในการดำเนินธุรกิจในอนาคต” นายพิชัยกล่าว
นายพิชัย เปิดเผยอีกว่า ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความเห็นอย่างเข้มข้นเพื่อขับเคลื่อนองค์การการค้าโลกหรือ WTO ในประเด็นที่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญ เช่น การผนวกรวมความตกลงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไว้ภายใต้กรอบกฎเกณฑ์ของ WTO การจัดทำกฎเกณฑ์ด้านนโยบายอุตสาหกรรม และการทำให้กลไกระงับข้อพิพาทกลับมาทำงานได้เต็มที่อิกครั้ง ซึ่งไทยยินดีให้ความร่วมมือในประเด็นเหล่านี้

รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ตนได้พบกับผู้นำในรัฐบาลญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องในเวทีการประชุมนานาชาติ เช่นในการประชุม OECD ที่กรุงปารีส ได้พบหารือกับ Mr. FUJII Hisayuki รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศของญี่ปุ่น และในช่วงการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ที่เชจู เกาหลีใต้ ก็ได้พบหารือกับ Mr. MIYAJI Takuma รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศของญี่ปุ่น ซึ่งตนได้เล่าถึงความพร้อมของประเทศไทยที่จะเปิดรับการลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ และถือโอกาสเชิญชวนนักลงทุนญี่ปุ่นให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งรัฐมนตรีทั้งสองท่านก็ตอบรับ และแสดงความสนใจในความพร้อมของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง
และเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ตนยังได้หารือกับ Mr. HAYASHI Yoshimasa เลขาธิการคณะรัฐมนตรี (Chief Cabinet Secretary) และ Mr.Taro KONO สส .จังหวัดคานางาวะ อดีตรัฐมนตรีดิจิทัลของญี่ปุ่น ซึ่งทั้งคู่เป็นนักการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในญี่ปุ่น ในประเด็นความร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในอุตสาหกรรมใหม่ ที่ญี่ปุ่นกำลังจะมีการลงทุนเพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของญี่ปุ่นในช่วง 10 ปีข้างหน้า โดยจะทุ่มงบประมาณมากกว่า 10 ล้านล้านเยน (2.2 ล้านล้านบาท) ซึ่งนายพิชัยต้องการให้ไทยเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในซัพพลายเชนของญี่ปุ่นด้วย
ในปี 2567 ไทยและญี่ปุ่นมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 52,020.41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกไปญี่ปุ่น 23,285.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไก่แปรรูป เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ เครื่องจักรและส่วนประกอบของเครื่องจักรกลเคมีภัณฑ์ และไทยนำเข้าจากญี่ปุ่น 28,734.65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์และแผงวงจรไฟฟ้า ทั้งนี้ ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม – เมษายน) การค้าสองฝ่ายมีมูลค่ารวม 17,166.74 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการส่งออก 7,649.49 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นการนำเข้า 9,517.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ