
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.การคลัง กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ในกระบวนการในการเจรจาเรื่องภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ ซึ่งรัฐบาลยืนยันว่าจะต้องทำให้ดีที่สุด โดยยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ที่ไทยอาจจะไม่ได้มีการลดอัตราภาษีนำเข้าที่ 0% ให้กับสหรัฐฯ แบบ 100% เหมือนหลายประเทศที่ได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากรัฐบาลต้องมองภาพใน 2 มิติ คือ ไม่ได้มองแค่ภาพของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคส่งออกอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนทั้งประเทศด้วย
ทั้งนี้ ยืนยันว่าทีมเจรจาของไทยมีการชั่งน้ำหนักผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเจรจากับสหรัฐฯ ที่จะมีต่อเศรษฐกิจของไทย โดยมีการพิจารณาถึงหลักความสมดุลกับอัตราภาษี เพราะในฐานะรัฐบาล ยังมีหน้าที่ต้องดูแลคนทั้งประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าแม้ภาคการส่งออกจะมีผลสำคัญต่อตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) สูงกว่าในส่วนอื่น แต่รัฐบาลก็ยังมีหน้าที่ต้องดูแลประชาชนทั้งประเทศด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดูแลผลกระทบทั้งสองฝั่ง จะดูแลแค่ภาคส่งออกอย่างเดียวคงไม่ได้ การดำเนินงานจึงต้องพิจารณาแนวทางที่จะต้องได้ผลที่เหมาะสมและสมดุลมากที่สุด ซึ่งมองว่าเรื่องนี้ผู้ที่ชนะไม่ใช่ผู้ที่ได้เรตภาษีต่ำที่สุด แต่เป็นคนที่สามารถรักษาสมดุลได้มากที่สุดมากกว่า
“ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ สิ่งที่เราจะไปลดภาษีลงนั้น ต้องแลกมาด้วยสิ่งที่เราจะต้องเปิดมากขึ้น นั่นหมายถึงจะมีผู้เดือดร้อนมากขึ้น เพราะฉะนั้นโจทย์สำคัญคือการสร้างความสมดุล หาจุดสมดุล ต้องชั่งน้ำหนักทั้ง 2 ฝั่ง ทั้งฝั่งผู้ส่งออก และฝั่งประชาชนในประเทศ ซึ่งประกอบด้วยผู้ส่งออก พี่น้องเกษตรกร ผู้เลี้ยงปศุสัตว์ เอสเอ็มอีรายย่อย ต้องพิจารณาผลกระทบทุกภาคส่วนให้ครบ โดยเรื่องการลดภาษีให้ 0% นี้อยู่ในกระบวนการ แต่มองว่าเราจะต้องมีส่วนที่กันไว้สำหรับประชาชนในประเทศ ผู้ที่ผลิตสินค้าในประเทศ ถ้าหากเราเปิดอะไรที่มากเกินสมควร ก็จะทำให้มีสินค้าเข้ามาแข่งขัน ทำให้ผู้ประกอบการในประเทศได้รับผลกระทบเช่นกัน ดังนั้นก็อาจจะต้องมีบางส่วนที่เราสามารถกันไว้สำหรับสินค้ายุทธศาสตร์ของประเทศ” นายเผ่าภูมิ กล่าว
ทั้งนี้ อยากทำความเข้าใจว่า ตามข้อเท็จจริงแล้วผลการเจรจาของเวียดนาม มีภาษี 2 อัตรา คือ 20% และ 40% ซึ่งในส่วนนี้มีหลักเกณฑ์การคำนวณมูลค่าในประเทศ (Regional Value Content : RVC) ที่จะเป็นตัววัดสัดส่วนมูลค่าที่เกิดจากกระบวนการผลิตภายในประเทศให้สอดคล้องกับเกณฑ์ใหม่ของสหรัฐฯ ดังนั้นหากสินค้าชนิดนั้นมีส่วนประกอบที่ผลิตในภูมิภาคเยอะ สินค้านั้นของเวียดนามก็จะได้ภาษี 20% แต่ถ้ามากเกินเส้นแบ่งของ RVC สินค้านั้นก็จะได้ภาษี 40% ซึ่งเกณฑ์ RVC นี้แต่ละประเทศจะถูกกำหนดแตกต่างกันออกไป ไม่เท่ากัน
“ถามว่าไทยจะทำแบบเวียดนามได้ไหม คำตอบคือทำได้ เราสามารถยื่นข้อเสนอเป็น total asset ได้เลย และเชื่อว่าหากเรายื่นแบบนั้นเราจะได้เรตภาษีที่ต่ำกว่าเวียดนามแน่นอน แต่ถามว่าคุ้มไหม ก็ต้องมาชั่งน้ำหนักกัน และหากไปดูข้อเท็จจริง เราจะพบว่าเวียดนามโดนภาษี 40% เยอะกว่า 20% เพราะเวียดนามเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีการผลิตในประเทศไม่สูง มีการนำเข้ามา และมาเพิ่มมูลค่าในประเทศเพื่อส่งออก ดังนั้น RVC ของเวียดนามจึงอยู่ในเกณฑ์ที่จะโดน 40% สูงกว่า 20% เทียบกับไทยที่เป็นระบบเศรษฐกิจที่โตมานาน มีสัดส่วนการผลิตในประเทศและผลิตในภูมิภาคสูง เพราะฉะนั้นหากใช้เกณฑ์เดียวกัน เรตเดียวกัน แปลว่าไทยได้เปรียบมากกว่า ดังนั้นเวลาจะพูดถึงเวียดนามว่าได้ภาษี 20% อย่างเดียวไม่แฟร์ เพราะเขามี 2 เรต” รมช.การคลัง ระบุ