
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง กล่าวภายหลังการเจรจาเรื่องภาษีนำเข้าระหว่างประเทศไทย และสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เมื่อวันที่ 17 ก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเจรจาอย่างเป็นทางการครั้งที่ 2 ว่า บรรยากาศการหารือเป็นไปด้วยดี ทิศทางชัดเจน มีการใช้เวลาพูดคุย 30 นาที ซึ่งเต็มตามกรอบที่มีการตกลงกันไว้ และมั่นใจว่าข้อเสนอของไทยที่ได้มีการปรับปรุงและยื่นไปใหม่นั้นเป็นข้อเสนอที่ดีมาก มีหลักการที่ดี ทำให้คาดว่าไทยน่าจะได้อัตราภาษีที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับภูมิภาค ซึ่งอินโดนีเซีย ได้อัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ 19% และเวียดนามที่ 20%
“ผมขอคาดเดาว่าเราก็น่าจะโดนสหรัฐฯ เก็บภาษีไม่เกิน 20% และผมเข้าใจว่าเราอาจจะไม่ได้คำตอบวันนี้ ยืนยันว่ามีสัญญาณที่ดีจากบรรยากาศการหารือที่ดี และทางสหรัฐฯ พูดว่าเป็นข้อเสนอที่ดีมาก (very substantial improvement)” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวว่า ข้อเสนอที่ไทยได้ปรับปรุงและยื่นไปใหม่นั้น มีการตอบสนองกับสิ่งที่เคยมีการพูดไว้ทั้งหมด ทั้งเรื่องการแก้ปัญหาในมิติต่าง ๆ ทำให้บรรยากาศการเจรจาออกมาดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Tariffs หรือเรื่องสินค้าผ่านทาง ส่วนเรื่องการเปิดตลาดของไทยนั้น ยอมรับว่ามี แต่จะมีมูลค่าไม่มาก โดยขอยืนยันว่า ไทยยังยืนอยู่บนหลักการว่าจะต้องให้ความสำคัญและดูแลผู้ผลิตภายในประเทศก่อน โดยเฉพาะสินค้าเกษตรบางชนิดที่หลายฝ่ายเป็นกังวล รวมถึงภาคอุตสาหกรรมที่เป็นซัพพลายเชนของเอสเอ็มอี ซึ่งสินค้าเหล่านี้เป็นกลุ่มที่จะต้องเข้าไปดูแล แม้ว่าบางอย่างอาจจะต้องมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น แต่ก็จะมีการดูแลปริมาณการผลิตในประเทศให้เหมาะสมก่อน และอีกเรื่องที่สำคัญและมองว่าเป็นข้อดีที่ไทยจะถือโอกาสในการเร่งดำเนินการ นั่นคือ การเพิ่มประสิทธิภาพของผู้ประกอบการภายในประเทศ
ส่วนกรณีอัตราภาษีของสินค้าสวมสิทธิผ่านผ่านทาง (Transshipment) นั้น เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องมาหารือกันต่อว่าจะดูแลเรื่องนี้อย่างไร จะมีการคิดอัตราภาษีแบบ 2 tier แบบเวียดนามหรือไม่นั้น ส่วนตัวไม่ทราบว่าสหรัฐฯ และเวียดนามมีการตกลงกันอย่างไร แต่ในฐานะที่ทำงานเรื่องนี้ มองว่าสินค้าที่ซื้อขายมีหลายกลุ่ม ดังนั้นสหรัฐฯ ก็อาจจะมีการคิดอัตราภาษีนำเข้าในหลายอัตรา เช่น สินค้ากลุ่มล่างก็อาจจะคิดภาษีหลายอัตรา ส่วนสินค้ากลุ่มบนอาจจะคิดภาษีอัตราเดียว ซึ่งตรงนี้ยังเป็นเรื่องที่ต้องค่อย ๆ พิจารณากันต่อไป