
วิจัยกรุงศรี ประเมินว่า เศรษฐกิจในเดือนกรกฎาคมชะลอลงจากเดือนก่อนตามภาคท่องเที่ยวและการใช้จ่ายภาคเอกชน ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศยังต้องติดตามพัฒนาการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนกรกฏาคม จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติแม้เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน (+2.0% MoM sa) แต่รายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติหดตัว (-5.6%) ขณะเดียวกันการบริโภคภาคเอกชนแผ่วลงต่อเนื่อง (-0.2%) จากการหดตัวของการใช้จ่ายในหมวดบริการและหมวดสินค้าไม่คงทน ส่วนการลงทุนภาคเอกชนกลับมาหดตัว (-0.4%) จากการลดลงในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย (+0.3%)
เศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังปี 2568 เผชิญแรงกดดันและมีแนวโน้มชะลอลงชัดเจน ภายใต้สมมติฐานสถานการณ์การเมืองมีผลกระทบจำกัดต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ โดยคาดว่าอัตราการเติบโตอาจเหลือเพียง 1.3% จาก 3.0% ในครึ่งปีแรก สาเหตุหลักมาจากการส่งออกที่ชะลอลง หลังผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เริ่มปรากฏชัด ประกอบกับแรงส่งจากคำสั่งซื้อที่เร่งส่งออกในช่วงก่อนหน้าได้สิ้นสุดลง ขณะเดียวกันภาคท่องเที่ยวยังมีทิศทางฟื้นตัวช้าตามการหดตัวของนักท่องเที่ยวจีน ทั้งนี้ ยังต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินให้นางสาวแพทองธารพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา หากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าอย่างมีนัยสำคัญ อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน กดดันการใช้จ่ายในประเทศ และทำให้ความต่อเนื่องของนโยบายเศรษฐกิจสำคัญสะดุดลง
มูลค่าส่งออกเดือนกรกฏาคมในรูปดอลลาร์ยังเติบโตสูงต่อเนื่อง แต่ในรูปเงินบาทกลับหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน สะท้อนแรงส่งทางเศรษฐกิจอ่อนแอลง กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกในเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 28.6 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 11.0% YoY หากหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน และทองคำ การส่งออกเติบโต 16.6% โดยการส่งออกสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ แผงวงจรไฟฟ้า รวมถึงสินค้าเกษตรโดยเฉพาะผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้งที่กลับขยายตัวได้ดี ด้านตลาดส่งออกพบว่าตลาดสำคัญส่วนใหญ่เติบโตดี โดยเฉพาะตลาดหลัก เช่น สหรัฐฯ จีน สหภาพยุโรป และอาเซียน สำหรับในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 195.4 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 14.4%
แนวโน้มการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปี 2568 มีความเสี่ยงชะลอตัวลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ แม้ในช่วง 7 เดือนแรกจะขยายตัวสูงถึง 30.1% แต่การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทยจาก 10% เป็น 19% ตั้งแต่ 7 สิงหาคม ย่อมส่งผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ แนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องยังซ้ำเติมภาคการส่งออก ทั้งในแง่รายได้เมื่อแปลงเป็นเงินบาทและการแข่งขันด้านราคาเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค โดยล่าสุดมูลค่าส่งออกในรูปเงินบาทเดือนกรกฎาคมหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือนที่ -1.1% YoY สะท้อนว่าบทบาทของภาคการส่งออกในฐานะเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มอ่อนแรงลงในระยะข้างหน้า