ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีบ (เอดีบี) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและแปซิฟิกอีกครั้ง ท่ามกลางความท้าทายต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงความเข้มงวดทางการเงินของธนาคารกลางที่เพิ่มมากขึ้น ผลกระทบจากการรุกรานยูเครนโดยรัสเซียที่ยืดเยื้อ และการล็อกดาวน์ COVID-19 ซ้ำแล้วซ้ำอีกในจีน
เอดีบีคาดว่าศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกจะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 4.3 ในปีนี้ เมื่อเทียบกับร้อยละ 5.2 ที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา สำหรับแนวโน้มการเติบโตในปีหน้านั้นลดลงอยู่ที่ร้อยละ 4.9 จากร้อยละ 5.3 ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อของภูมิภาคคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น
สำหรับเศรษฐกิจไทย แม้จะฟื้นตัวดีในครึ่งแรกของปี 2565 แต่เอดีบีได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2565 ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.9 จากร้อยละ 3.0 จากที่เคยคาดการณ์ไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 4.2 จากร้อยละ 4.5 สำหรับปี 2566 เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นภายหลังเกิดความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน เศรษฐกิจคู่ค้าที่ชะลอตัวลง การลงทุนในประเทศที่ลดต่ำลง และอัตราเงินเฟ้อในระดับสูงที่คาดว่าจะส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ส่วนอัตราเงินเฟ้อในปี 2565 คาดว่าจะปรับสูงขึ้นเป็นร้อยละ 6.3 จากร้อยละ 3.3 ที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตามราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนในปี 2566 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ร้อยละ 2.7 ปรับขึ้นจากร้อยละ 2.2 ที่เคยประมาณการไว้ก่อนหน้า เนื่องจากราคาอาหารและพลังงานคาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการหลากหลายเพื่อลดผลกระทบจากราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น เช่น เงินอุดหนุนค่าก๊าซหุงต้ม และการปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม โดยการส่งผ่านต้นทุนไปยังสินค้าต่างๆ คาดว่าจะเป็นวงกว้างมากขึ้น