ขึ้นค่าแรงทิพย์ พ่นพิษสินค้าแพง แซงรายได้

นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 600 บาท กำลังเป็น นโยบาย ขึ้นค่าแรงทิพย์ ที่ส่งผลกระทบกับประชาชนหาเช้ากินค่ำมากขึ้นทุกวัน

เป็นที่รู้กันว่า เมื่อมีการประกาศจะขึ้นค่าแรงทุกครั้ง ราคาสินค้า ค่าครองชีพต่าง จะปรับขึ้นไปรอก่อนหน้าทุกครั้งทั้วทั้งประเทศ

และทุกครั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลราคาสินค้า ก็จะออกมาบอกทุกครั้งว่า จะดูแลควบคุมไม่ให้ขึ้น หรือให้ขึ้นสะท้อนความเป็นจริง ไม่ให้เอาเปรียบผู้บริโภค

แต่ทุกครั้ง สิ่งที่พูดก็เป็นแต่ลมพัดผ่าน ไม่สามารถความคุมอะไรได้จริงอย่างที่พูด

หากมีการขึ้นค่าแรงได้จริงๆ แล้วราคาสินค้าปรับขึ้น ประชาชนหาเช้ากินค่ำก็ยังพอทน เพราะหักลบกลบกันแล้วก็ไม่เข้าเนื้อ ได้รายได้มาก ก็จ่ายราคาสินค้าที่แพงขึ้น

แต่การขึ้นค่าแรงของรัฐบาลเซลล์แมน เป็นเรื่องแปลกกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา มีการประกาศตั้งแต่หาเสียงว่า จะขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำเป็นวันละ 600 บาทภายในปี 4 ปี ราคาสินค้าก็ตั้งท่าขยับทันที

เมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาล ประกาศจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำประเดิมให้ได้ 400 บาทต่อวัน รอบแรกทำไม่สำเร็จ จนโดนโจมตีว่าทำไม่ได้อย่างสัญญา เป็นนโยบายขึ้นค่าแรงทิพย์

จนต้องหาทางออกขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 400 บาท ใน 10 จังหวัดนำร่อง และขึ้นในธุรกิจโรงแรม 4 ดาวขึ้นไปเท่านั้น กลายเป็นนโยบายขึ้นค่าแรงเป็นหย่อมๆ ไม่กี่หย่อม แต่ราคาสินค้าที่ปรับขึ้นกลับขึ้นทั้งประเทศ

ยิ่งทีมเซลล์แมน ออกมาประกาศว่า จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้ได้ 400 บาททั่วประเทศ ทุกสาขาอาชีพ ทุกธุรกิจ ในวันที่ 1 ต.ค. นี้ ยิ่งทำให้นโยบาย ขึ้นค่าแรงทิพย์แผงฤทธิ์มากขึ้นไปอีก ราคาสินค้าต่างๆ ปรับขึ้น และรอปรับขึ้นรับค่าแรง 400 บาท กันทั่วหน้า ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะทำได้จริงหรือไม่

ไปกว่านั้น ยังบอกว่าจะขึ้นค่าแรงวันละ 600 บาท ให้ได้ตามสัญญาในปี 2670 สัญญาทิพย์จึงเป็นพิษให้คนหาเช้ากินค่ำ เจอพิษสินค้าแพง ค่าครองชีพสูง แต่รายได้ยังเท่าเดิม

เพราะการบริหารนโยบายของทีมเซลล์แมนชอบทำไปคิดไป ไม่คิดถึงผลเสียที่ตามมาแล้วแก้ไขไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการแจกเงินดิจิทัล ที่ผ่านมาจะครบปียังตั้งไข่ไม่ได้

เรื่องการขึ้นค่าแรงทิพย์ ก็เป็นอีกหนึ่งนโยบายที่พูดก่อนทำที่หลัง ไม่สนใจผลกระทบว่า การทำเช่นนี้ ทำให้ราคาสินค่า และค่าครองชีพของคนรายได้น้อย แพงจนแซงหน้ารายได้จริงที่ได้อยู่ทุกวันนี้ไปแล้ว