นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 (ม.ค.-มิ.ย.2567) บริษัทมียอดขายจากโครงการที่อยู่อาศัยในเครือจำนวนทั้งสิ้น 18,331 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มโครงการบ้านจัดสรร ภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ประมาณ 3,807 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 21% และยอดขายจากกลุ่มโครงการคอนโดมิเนียม ประมาณ 14,524 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 79% และหากแบ่งตามสถานะโครงการ จะเป็นยอดขายจากโครงการพร้อมอยู่(Ready to Move) ประมาณ 49% และยอดขายจากโครงการที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ และโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง (Ongoing) ประมาณ 51%
สำหรับกลุ่มโครงการที่สร้างยอดขายโดดเด่นในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ คือกลุ่มโครงการคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ภายใต้แนวคิด Origin Pet Family นำโดยโครงการออริจิ้น เพลส แจ้งวัฒนะ (Origin Place Chaengwattana) และโครงการออริจิ้น เพลส เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ (Origin Place Taopoon Interchange) โครงการเลี้ยงสัตว์ได้แห่งแรกของทำเลแจ้งวัฒนะและเตาปูน ที่เพิ่งเปิดตัวในไตรมาส 2/2567 ขณะเดียวกัน โครงการคอนโดมิเนียมในหัวเมืองท่องเที่ยวอย่าง โซ ออริจิ้น บางเทา บีช (SO Origin Bangtao Beach) ที่เพิ่งเปิดตัวในไตรมาส 1/2567 ก็ได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยม กวาดยอดขายสะสมแล้วกว่า 80%
“สภาพตลาดรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ ชะลอตัวลงจากปีที่ผ่านมา แต่คาดว่าจะเริ่มค่อยๆ ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากนโยบายกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ เช่น การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง แต่นอกเหนือจากปัจจัยบวกจากภายนอกแล้ว ข้อสำคัญคือ เราต้องเลือกบุกไปยังตลาดที่มีความต้องการซื้อจริง และเลือกเซ็กเมนท์ที่มีคู่แข่งจำนวนไม่มากด้วย” นายพีระพงศ์ กล่าว
นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับกลยุทธ์การสร้างยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 นั้น บริษัทให้ความสำคัญกับ 3 ด้าน ได้แก่ 1.การระบายสินค้าคงค้าง (Inventory) เตรียมจัดโปรโมชั่นใหม่ๆ กับกลุ่มโครงการพร้อมอยู่ ทั้งโปรโมชั่นด้านการตลาด และโปรโมชั่นกับพันธมิตรทางการเงิน เพื่อให้ลูกค้ามีขีดความสามารถเข้าถึงโครงการที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น 2.การเลือกเปิดโครงการในทำเลที่เหมาะสม เลือกเปิดโครงการในทำเลที่มีความต้องการซื้อจากลูกค้าหลายกลุ่ม ทั้งผู้ซื้ออยู่เอง ผู้ซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว ตลอดจนตลาดต่างชาติ และเป็นทำเลที่มั่นใจได้ว่าหากเปิดตัวแล้ว จะสามารถสร้างยอดขายกลับมาได้ทันที เช่น ทำเลหัวเมืองต่างจังหวัด ที่ยังมีกลุ่มลูกค้าเศรษฐีเงินสด และ 3.การเพิ่มโอกาสเข้าถึงลูกค้าใหม่ เดินหน้าพัฒนาแพลตฟอร์มที่จะช่วยเปิดทางให้ลูกค้าเข้าถึงการซื้อขายโครงการของบริษัทได้ทุกที่ทุกเวลา
“ตลาดปีนี้ไม่ง่าย เพราะกำลังซื้อยังหดตัวในภาพรวม แต่ออริจิ้น ยังคงให้ความสำคัญกับการมี Disruptor Mindset เราผ่านช่วง COVID-19 มาได้ เพราะเราปรับตัวเร็ว และปรับตัวตลอดเวลา เราเชื่อมั่นว่าทั้ง 3 กลยุทธ์ที่เราจะเดินหน้าต่อจากนี้ จะช่วยให้เราปรับตัวพร้อมส่งมอบสินค้าที่อยู่อาศัยคุณภาพให้ผู้บริโภค ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนได้” นายพีระพงศ์ กล่าว
สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย
1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 159 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 4/2566) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton),
ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) รวมมูลค่าโครงการกว่า 242,744
ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และ 4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร