บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘SHR’ บริษัทในเครือสิงห์ เอสเตท โชว์ผลประกอบการครึ่งปีแรกเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานทั้ง 4 พอร์ตโฟลิโอ เผยรายได้จากการขายและการให้บริการในครึ่งปีแรก รวมอยู่ที่ 3,761 ล้านบาท เติบโตเกือบ 3 เท่าจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พร้อมรายงานผลกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำ จากการดำเนินงานปกติ (Adjusted EBITDA) ที่ 639 ล้านบาท ซึ่งเป็นการรายงานผลกำไรติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สี่
บริษัทฯ มีความมั่นใจต่อผลประกอบการในครึ่งปีหลัง ที่จะเติบโตต่อเนื่องกว่า 25% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ผลักดันรายได้ทั้งปีเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีปัจจัยหลักจากการเปิดประเทศเต็มรูปแบบในทุกพอร์ตที่บริษัทฯ ดำเนินงาน
ทั้งนี้ บริษัทฯ เห็นสัญญาณของ pent up demand ที่แข็งแกร่ง กอปรกับศักยภาพของโรงแรมของบริษัทฯ ที่ตั้งอยู่ในจุดหมายทางด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั้ง 5 แห่งทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทยและมัลดีฟส์ เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าโรงแรมในทุกพอร์ตจะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้เร็วกว่าอุตสาหกรรม 2 ฟันเฟืองหลักที่จะเข้ามาเสริมทัพความแข็งแกร่งของผลประกอบการ นอกเหนือจากโรงแรมใน CROSSROADS และพอร์ตโรงแรมในสหราชอาณาจักร ที่ยืนยันผลการดำเนินงานที่โดดเด่นมาได้ต่อเนื่องแล้ว คือพอร์ตโรงแรมที่ประเทศไทยและสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ
สำหรับประเทศไทยภายหลังจากการเปิดประเทศในเดือนกรกฎาคมมีตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาทะลุ 1 ล้านคนเป็นเดือนแรกนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปี 2563 ทำให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมทั้งปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 10 ล้านคน ส่งผลให้ในเดือนดังกล่าว โรงแรม SAii Laguna Phuket มี Occupancy Rate ที่ 68%
ทั้งนี้ ด้วยจุดแข็งด้านที่ตั้งของโรงแรมและผลสำเร็จจากการสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ของบริษัทฯ เราจึงมีความมั่นใจต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าพอร์ตโรงแรมในประเทศไทยจะสามารถสร้างรายได้ที่เติบโตขึ้นเกือบสองเท่าตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปี เช่นเดียวกับสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ ที่จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศในเดือนมิถุนายนเติบโตในระดับ 73% เทียบกับช่วงก่อนการเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยโรงแรมของบริษัทฯ ในสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิโชว์ผลการดำเนินงานที่โดดเด่นกว่าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโรงแรม Castaway Island, Fiji มีระดับ Occupancy Rate เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 84% ในเดือนมิถุนายนและสามารถดึง RevPAR สูงขึ้นได้ประมาณ 5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนเกิดโควิด-19 ได้สำเร็จ
นายเดิร์ก อังเดร ลีน่า เดอ คุยเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เผยว่า “ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกฟื้นตัวได้ดีกว่าที่เราคาดการณ์ ด้วยแนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง และผลสำเร็จของกลยุทธ์ปรับปรุงประสิทธิภาพพอร์ต รวมถึงศักยภาพทางการแข่งขันในหลายๆ โรงแรมของบริษัทฯ โดยพอร์ตโรงแรมของ SHR หลายแห่งมีอัตราการเข้าพักที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม เช่น พอร์ตโรงแรมที่สาธารณรัฐมัลดีฟส์ มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 70% เทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 61% และพอร์ตโรงแรมที่ประเทศไทยในจังหวัดภูเก็ตมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 53% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 40% โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอร์ตโรงแรมที่สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 54% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมในปี 2562 ที่เป็นระดับช่วงก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ 52% สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของสินทรัพย์และศักยภาพในแข่งขัน เรามั่นใจว่าจะสามารถผลักดันผลประกอบในช่วงครึ่งปีหลังให้ปรับตัวดีขึ้นใกล้เคียงกับปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ และ SHR จะเดินหน้าพัฒนาห้องพักของโรงแรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีอัตราการเข้าพักและค่าห้องพักเฉลี่ยที่ดีขึ้นในอนาคต”
นอกจากนี้ เราเริ่มเห็นการฟื้นตัวของการจัดงานอีเว้นท์ต่างๆ ของอุตสาหกรรม MICE (Meetings, Incentive Travel, Conventions, Exhibitions) ทั้งในสหราชอาณาจักร สาธารณรัฐมัลดีฟส์ และประเทศไทย จากปริมาณการจัดงานที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกและการจองสถานที่จัดงานในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเรามีสถานที่รองรับการจัดประชุมและจัดงานอีเวนต์ต่างๆในโรงแรมหลายแห่งในพอร์ตของบริษัทฯ โดยเฉพาะโรงแรม ทราย ลากูน่า ภูเก็ต ที่มีศูนย์การประชุมและงานอีเวนต์ (Meetings & Events Centre) ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการจัดงานได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการประชุมทางธุรกิจที่สำคัญ การประชุมใหญ่ขององค์กร งานกาล่าดินเนอร์ พิธีมอบรางวัลอันยิ่งใหญ่ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์และงานอีเว้นท์อื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งเราคาดว่าอุตสาหกรรม MICE ในครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวได้ดีกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์สำคัญที่จะขับเคลื่อนให้รายได้ในปี 2565 ให้เติบโตขึ้น
นายเดิร์ก กล่าวปิดท้ายว่า “เรามั่นใจต่อทิศทางการดำเนินงานที่โดดเด่น ด้วยศักยภาพของสินทรัพย์ภายหลังจากการใช้กลยุทธ์การหมุนเวียนการลงทุนสินทรัพย์ โดยหลังจากนี้ SHR จะมุ่งไปที่กลยุทธ์ของการเพิ่มประสิทธิภาพในแต่ละพอร์ตโฟลิโอ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงห้องพัก พัฒนาและเพิ่มมูลค่าในด้านต่างๆ ให้แก่โรงแรม กลยุทธ์เชิงรุกในการทำการตลาด การสร้างการรับรู้สำหรับแบรนด์ SAii ตลอดจนการพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับการจองห้องพักของบริษัทฯ ให้สอดคล้องกับความต้องการและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยปัจจุบัน SHR มีสัดส่วนรายได้จากช่องทางการจองที่พักโรงแรมโดยตรง (Direct Booking) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 20% ในครึ่งปีแรก จากเดิมในปี 2561 ถึง 2564 เฉลี่ยอยู่ที่ 10% โดยตั้งเป้าที่จะผลักดันสัดส่วนของ Direct Booking ให้ขึ้นไปที่ 30% ภายในสิ้นปี ทั้งนี้ กลยุทธ์เหล่านี้ที่กล่าวจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสริมที่ช่วยขับเคลื่อนผลการดำเนินงาน และจะเป็นกลไกที่สำคัญในการเติบโตของพอร์ตในครึ่งปีหลัง และปีต่อๆ ไป ทำให้บริษัทฯ สามารถบรรลุเป้าหมายรายได้ของปี 2565 ที่วางไว้ราว 8,500 ล้านบาท และก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย”