บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ (SET:S) ประกาศผลประกอบการงวดเก้าเดือนแรก ของปี 2567 มีรายได้จากธุรกิจหลักรวมทั้งสิ้น 11,431 ล้านบาท โดยเป็น (1) รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 2,534 ล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้น 50% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยหลักยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการ สริน ราชพฤกษ์-สาย 1(S’RIN Ratchapruek – Sai 1), โครงการ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ (THE EXTRO Phayathai-Rangnam) และโครงการดิ เอส สุขุมวิท 36 (The ESSE Sukhumvit 36) (2) รายได้จากธุรกิจให้บริการจำนวน 8,654 ล้านบาท ขับเคลื่อนโดยรายได้จากกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่ปรับตัวสูงขึ้น 7% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนแม้ว่าในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 จะมีการปรับปรุงห้องพักโรงแรมในประเทศไทยบางส่วน ซึ่งสะท้อนจากความสำเร็จในการขยายฐานลูกค้าสู่ประเทศกลุ่มใหม่ ๆ เพื่อเติมเต็มศักยภาพในช่วงนอกฤดูกาล พร้อมแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ และผลจากการปรับปรุงห้องพักส่วนนี้ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ ทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยว ผลักดันให้อัตราค่าห้องพัก(ADR) ของพอร์ทเติบโตขึ้นกว่า 15% เสริมด้วยรายได้ค่าเช่าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าที่เติบโตสูงขึ้นกว่า 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ตามอัตราการปล่อยเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานเอสโอเอซิส (S-OASIS) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
คุณฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เปิดเผยว่า “ถึงแม้ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์จะมีความท้าทาย แต่ภาพรวมการดำเนินงานของสิงห์ เอสเตทในช่วง 9 เดือนแรกยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นในเซกเมนต์ลักชูรี ซึ่งยังมีความต้องการของลูกค้าที่แข็งแกร่ง สำหรับการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4 เรายังคงมุ่งมั่นรังสรรค์โครงการคุณภาพ โดยภายในปลายปีนี้จนถึงช่วงต้นปีหน้า เตรียมเปิดตัว 4 โครงการ ในเซ้กเมนต์ลักชัวรี ถึง ซูเปอร์ ลักชัวรี เป็นโครงการคอนโดร่วมทุน 1 โครงการ ตั้งอยู่บนทำเลพระราม 3 และบ้านเดี่ยว 3 โครงการ ภายใต้แบรนด์ สมิทธ์ (SMYTH’S) บน 2 ทำเลสำคัญ ได้แก่ รามอินทรา และ เกษตร-นวมินทร์ และ S’RIN Prannok-Kanchana (สริน พรานนก-กาญจนา) บน ถนน พรานนก-ตัดใหม่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 8,800 ล้านบาท ในส่วนกลุ่มธุรกิจโรงแรมมีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ เราเห็นแรงขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ด้วยกลยุทธ์การขยายตลาดเชิงรุกไปยังตลาดใหม่พร้อมการปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่ดี ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) ปรับตัวเพิ่มขึ้น กว่า 12% จากปีก่อนหน้า”
สำหรับธุรกิจที่พักอาศัย ยังเห็นสัญญาณการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการบ้านระดับ ซูเปอร์ลักชัวรีและพรีเมียมลักชัวรีและ อาทิ ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส (Siraninn Residences), สริน ราชพฤกษ์- สาย 1 และโครงการคอนโดมิเนียมดิ เอส สุขุมวิท 36 เช่นเดียวกับการตอบรับที่ดีต่อโครงการ ที่เปิดตัวระหว่างปีได้แก่ ฌอน ปัญญาอินทรา (SHAWN Panya Indra) และ ฌอน วงแหวน-จตุโชติ (SHAWN Wongwaen – Chatuchot) ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวในกลุ่มลักซ์ชัวรี ได้เริ่มเห็นการทยอยโอนกรรมสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ผ่านมา
ณ สิ้นไตรมาส 3 บริษัทฯ มี Backlog อีกกว่า 1,824 ล้านบาท ซึ่งเราตั้งเป้าหมายในการรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 38% ของยอด Backlog ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 ซึ่งจะเป็นแรงหนุนให้รายได้ทั้งปี เติบโตได้ตามเป้า
ผลประกอบการกลุ่มธุรกิจโรงแรมรอบเก้าเดือนแรก ที่ผ่านมาเติบโตอย่างโดดเด่น โดยกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12% แตะระดับ 1,918 ล้านบาท สะท้อนประสิทธิภาพในการควบคุมค่าใช้จ่าย พร้อมขยายฐานลูกค้าจากตลาดใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาด ก่อให้เกิดการกระจายตัวด้วยมูลค่าทางเศรษฐกิจและฤดูกาล ซึ่งจะผลักดัน RevPAR เติบโตขึ้น 12% สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 บริษัทฯ มองเห็นโอกาสเติบโตของธุรกิจโรงแรมในช่วง high season ทั้งในประเทศไทย มัลดีฟส์ และมอริเชียส โดยห้องพักที่ปิดปรับปรุง 173 ห้องของโรงแรม ทราย ลากูน่า ภูเก็ต (SAii Laguna Phuket) จะทยอยเปิดให้บริการอีกครั้งภายในเดือนธันวาคม พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวช่วง high season และคาดว่าจะปรับเพิ่มอัตราค่าห้องพัก ได้ถึง 15-20% จากการปรับปรุงดังกล่าว พร้อมแรงสนับสนุนจากการเพิ่มรายได้จากบริการอื่น ๆ เช่น อาหารและเครื่องดื่ม (F&B) และสปา ตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้
สำหรับธุรกิจอาคารสำนักงาน ในไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถคว้ารางวัล Global Business Outlook Award 2024 สาขา Most Innovative New Office Building Development จากโครงการ S-OASIS ซึ่งสะท้อนถึงการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมอาคารสำนักงานของบริษัทฯ รางวัลนี้เน้นย้ำถึงความสำเร็จของการออกแบบอาคารอัจฉริยะที่ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเอส โอเอซิส (S-OASIS) นับเป็นอาคารสำนักงานที่ยั่งยืนระดับแนวหน้าของไทยในย่านวิภาวดี ซึ่งปัจจุบัน นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนกำลังเป็นที่ต้องการสูงจากผู้เช่าที่ยึดถือหลักการทำธุรกิจแบบมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการนี้เป็นตัวเลือกที่โดดเด่นในตลาด เราคาดว่าอัตราการเช่าพื้นที่ของอาคาร เอส โอเอซิส (S-OASIS) จะสามารถไปสู่เป้าที่ระดับ 50% ภายในสิ้นปี 2567
ทางด้านกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง ปัจจุบันเรามีโครงสร้างพื้นฐานอย่างครบครัน ทั้งในส่วนของการบริหารจัดการน้ำ และไฟฟ้าที่มีความมั่นคง นับเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งในการดึงดูดนักลงทุน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากการย้ายฐานการผลิตจากนักลงทุนต่างชาติหรือมาตรการการลงทุนจากทางภาครัฐเข้ามาสนับสนุน ซึ่งในปี 2567 มีนักลงทุนสนใจเข้าชมพื้นที่นิคมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าจากประเทศจีน และไต้หวัน ซึ่งเรามีการรับรู้รายได้จากการโอนที่แก่นักลงทุนแล้วทั้งสิ้นจำนวน 56 ไร่ และส่วนแบ่งกำไรกว่า 100 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี จากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมทั้ง 3 แห่งในนิคมฯ ที่เปิดดำเนินการตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานนับเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่จะเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตรายได้ของสิงห์ เอสเตท
“นอกจากนี้ สิงห์ เอสเตท ยังได้รับการยอมรับจากรางวัลคุณภาพมากมาย เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยได้รับ 4 รางวัลจาก PropertyGuru Thailand Property Awards ครั้งที่ 19 จากโครงการดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ (THE EXTRO Phayathai-Rangnam) และรางวัล Global Business Outlook 2024 สาขา BEST LUXURY DEVELOPERS – Residential ทั้งหมดนี้ยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการและบริการที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืน เพื่อมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า” คุณฐิติมา กล่าวเสริม