ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ 3 จังหวัด EEC โดยคาดการณ์ว่าจะมีโครงการเปิดตัวใหม่จำนวน 20,270 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 51.9 เมื่อเทียบกับปี 2564 ซึ่งมีจำนวน 13,340 หน่วย โดยมีมูลค่าการเปิดตัวใหม่จำนวน 63,346 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 72.4 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าซึ่งมีมูลค่า 36,750 หน่วย มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ 21,675 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 เมื่อเทียบกับปี 2564 ซึ่งมีจำนวน 20,192 หน่วย มูลค่าขายได้ใหม่ 65,774 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าซึ่งมีมูลค่า 60,562 ล้านบาท
โดยมีหน่วยเหลือขาย 72,516 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.9 เมื่อเทียบกับปี 2564 ซึ่งมีจำนวน 60,480 หน่วย มูลค่าหน่วยเหลือขาย 229,381ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 โดยเพิ่มจาก 203,891 ล้านบาท ในขณะที่อัตราดูดซับในกลุ่มโครงการแนวราบลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.1 แต่อาคารชุดอัตราดูดซับจะปรับเพิ่มจากร้อยละ 1.9 ในปี 2564 เป็นร้อยละ 2.1 ในปี 2565
เมื่อพิจารณารายพื้นที่ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ คาดการณ์ว่าในปี 2565 จังหวัดชลบุรีจะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 12,513 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 99.9 มูลค่า 44,376 ล้านบาท มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 181.2 เมื่อเทียบกับปี 2564 ส่วนจำนวนหน่วยขายได้ใหม่คาดว่าจะมีจำนวน 13,916 หน่วย มูลค่า 46,494 ล้านบาท จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.8 มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.4 เมื่อเทียบกับปี 2564 และจำนวนหน่วยเหลือขายคาดว่าจะมีจำนวน 47,951 หน่วย มูลค่า 167,014 ล้านบาท จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.1 มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.0 เมื่อเทียบกับปี 2564
จังหวัดระยอง คาดการณ์ว่าจะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 6,097 หน่วย มูลค่า 14,679 ล้านบาทจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.3 มูลค่าลดลงร้อยละ -8.9 เมื่อเทียบกับปี 2564 ส่วนจำนวนหน่วยขายได้ใหม่คาดว่า จะมีจำนวน 5,841 หน่วย มูลค่า 13,989 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลงร้อยละ -7.0 มูลค่าลดลงร้อยละ -13.3 เมื่อเทียบกับปี 2564 และจำนวนหน่วยเหลือขายคาดว่าจะมีจำนวน 18,128 หน่วย มูลค่า 51,256 ล้านบาท จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.2 เมื่อเทียบกับปี 2564
จังหวัดฉะเชิงเทรา คาดการณ์ว่าจะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 1,658 หน่วย มูลค่า 4,292 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลงร้อยละ -2.5 มูลค่าลดลงร้อยละ -11.6 เมื่อเทียบกับปี 2564 ส่วนจำนวนหน่วยขายได้ใหม่คาดว่าจะมีจำนวน 1,918 หน่วย มูลค่า 5,294 ล้านบาท จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับปี 2564 และจำนวนหน่วยเหลือขายคาดว่าจะมีจำนวน 6,437 หน่วย มูลค่า 17,986 ล้านบาท จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 เมื่อเทียบกับปี 2564
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระทบต่อตัวเลขการคาดการณ์ข้างต้น ประกอบด้วย ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวขึ้น รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่อาจมีการปรับตัวขึ้น 0.50 – 1.00% ซึ่งจะเป็นผลกระทบเชิงลบต่อตลาดที่อยู่อาศัยได้