KBank Private Banking ชี้ราคาตราสารหนี้มีโอกาสปรับขึ้นต่อ

Date:

นางสาวศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director, Financial Advisory Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ตลอดหลาย 10 ปีที่ผ่านมา ตราสารหนี้เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้รับความสนใจมากนักจากนักลงทุน เนื่องจากให้ผลตอบแทนไม่มาก เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยประคับประคองพอร์ตการลงทุนในช่วงเศรษฐกิจถดถอยหรือในช่วงที่มีวิกฤต อย่างไรก็ดี ในปีนี้ Bonds are Back เป็นธีมการลงทุนที่นักลงทุนควรหันมาให้ความสนใจ จากการที่ธนาคารกลางในประเทศเศรษฐกิจหลักของโลก อย่าง Fed มีนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่เร็วและแรงเพื่อรับมือเงินเฟ้อ ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ปรับตัวขึ้นแรงตามทั้งสหรัฐฯ และไทย ทั้งนี้ KBank Private Banking คาดว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะสิ้นสุดในปีนี้ ดังนั้นโอกาสที่ดอกเบี้ยในตลาดจะทรงตัวหรือปรับตัวลงมีมากกว่าที่จะปรับเพิ่มขึ้นต่อ ความเสี่ยงจากประเด็นด้านดอกเบี้ยสำหรับตราสารหนี้ก็จะลดลง

ช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าตลาดตราสารหนี้เริ่มฟื้นตัวขึ้นและมีอัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจ หลังเงินเฟ้อเริ่มผ่อนคลายและเศรษฐกิจโดยรวมเริ่มส่อแววชะลอตัวลง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปีปรับลงในเดือนมีนาคมกว่า 1% จากระดับสูงสุดที่ 5.07% ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในรอบกว่า 12 ปีเลยทีเดียว ส่วนทิศทางตลาดตราสารหนี้ในปี 2566 มีโอกาสปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากมีแนวโน้มที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ Fed หลังจากนี้มีทิศทางที่จะชะลอความเร็วลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ปัจจุบันอยู่ที่ 4.75-5.00%

ดังนั้น KBank Private Banking จึงมองว่าเป็นโอกาสที่ดีที่นักลงทุนควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้โดย

1)ควรกระจายการลงทุนตราสารหนี้ที่หลากหลาย ทั้งพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน ที่จะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นที่ใกล้จะสิ้นสุด เช่น กองทุนเปิดทีเอ็มบี อีสท์สปริง โกลบอล สมาร์ท บอนด์ (TTB-ES-GSBOND)

2)แนะนำเพิ่มการลงทุนใน Contingent Convertible Bond (CoCos Bond) หรือตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ที่มีโอกาสที่ได้รับผลตอบแทนที่ดี หลังสถานะการเงินในภาคธนาคารแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าในช่วงปี 2551 ที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เช่น กองทุนกองทุนเปิด ยูไนเต็ด แพลตินัม อินคัม ออพพอร์ทูนิตี้ส์ พลัส ฟันด์ (UPINCM-N)

“KBank Private Banking เห็นความท้าทายในตลาดการลงทุนระยะข้างหน้าจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จึงแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ ด้วยเหตุผลว่า 1) วัฎจักรของดอกเบี้ยใกล้สิ้นสุดลงแล้ว และยังไม่เห็นท่าทีว่าจะมีการลดดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับตัวขึ้นสูงช่วยปกป้องให้ภาพรวมของผลตอบแทนไม่ติดลบมากนัก 2) เศรษฐกิจโลกมีโอกาสชะลอตัวหรือถดถอยเพียงเล็กน้อย ภาคธุรกิจยังมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย 3) ส่วนต่างของดอกเบี้ยที่ต่างกันถือเป็นโอกาสการลงทุนในตราสารหนี้ ที่สำคัญคือตราสารหนี้เป็นตัวช่วยกระจายความเสี่ยงที่ดี จึงแนะนำการกระจายการลงทุนในตราสารหนี้หลากหลายประเภททั่วโลกที่ผ่านการคัดสรรจากผู้เชี่ยวชาญ ที่จะคอยดูแลปรับพอร์ตเพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ อยู่เสมอ พร้อมกับสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว” นางสาวศิริพร กล่าว

Share post:

spot_img
spot_img

Related articles

ยกระดับการท่องเที่ยวไทย สู่การสร้างคุณค่าที่ยั่งยืน

ยกระดับการท่องเที่ยวไทย มองไกลกว่าการฟื้นตัว สู่การสร้างคุณค่าที่ยั่งยืน

ชนินทธ์ โทณวณิก ประกาศศึกชิง “ดุสิตธานี”

ชนินทธ์ โทณวณิก ประกาศศึกแถลงการณ์ชิง “ดุสิตธานี” ลั่นไม่หนีไปไหน ขอยืนสู้ทางกฎหมายให้ถึงที่สุด

รมว.คลัง หารือ คณะสส.สหรัฐฯ

รมว.คลัง หารือ กับคณะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกา จี้ไทยเรื่องสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์

เมืองไทยประกันชีวิต รับมอบเกียรติบัตร “ESG DNA”

เมืองไทยประกันชีวิต รับมอบเกียรติบัตร “ESG DNA” จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย   ตอกย้ำการเป็นองค์กรต้นแบบด้านความยั่งยืน