นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ประธานกรรมการ บริษัท ทาคูนิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TAKUNI เปิดเผยว่าแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ ยังเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อน ที่มีรายได้ราว 3,921 ล้านบาท หลังจากบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของกลยุทธ์เชิงรุกทางการตลาด
โดยในปี 2567 จะรุกหนักในธุรกิจใหม่ที่กลุ่ม TAKUNI ได้ร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศและพันธมิตรต่างประเทศ ในการผลิตและจัดจำหน่ายรถไฟฟ้า(EV) ทั้งรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ทั้งรถกระบะในเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะเริ่มลุยตลาดอย่างจริงจังในปีนี้ จะทำให้รายได้ในปีนี้เติบโตสูงขึ้นมาก สร้าง New S-Curve ให้กับบริษัท
นอกจากนี้ ทาคูนิ กรุ๊ป ยังมีแผนการลงทุนตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้ารถมอเตอร์ไซค์เอง เพื่อต่อยอดธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายรถไฟฟ้า ให้ครบวงจรมากขึ้น เนื่องจากต้นทุนของรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าประมาณ 40% เป็นเรื่องแบตเตอรี่ การผลิตได้เองภายในประเทศ จะเป็นการเพิ่มมูลค่าทางอุตสาหกรรมการผลิตได้ ทำให้ TAKUNI สามารถบริหารจัดการเรื่องต้นทุนการขายรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าได้ดียิ่งขึ้น คาดจะได้ข้อสรุปและเซ็นสัญญากับพันธมิตรได้ภายในไตรมาส 2
ขณะเดียวกันกลุ่ม ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ธุรกิจทดสอบความปลอดภัย ธุรกิจขนส่งทางบก ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ส่วนของธุรกิจเดิม คือ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับแก๊ส ทั้งการจำหน่ายแก๊ส และจำหน่ายอุปกรณ์ติดตั้งระบบแก๊ส คาดว่าจะโตในลักษณะทรงตัว หลังปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทที่เปลี่ยนจากผู้ค้ามาตรา 7 ไปเป็นมาตรา 10 โดยจะหันไปรุกธุรกิจพลังงานสะอาดมากขึ้น ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ของโลกที่กำลังมาแรง ซึ่งจากแผนธุรกิจทั้งในส่วนธุรกิจเดิม และธุรกิจใหม่ จะทำให้ในปีนี้ TAKUNI เติบโตอย่างโดดเด่น
ด้าน นายกฤตพงศ์ อรชัยพันธ์ลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัททาคูนิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลการดำเนินงานในปี 2566 ว่า กลุ่มบริษัทยังคงมีการเติบโตที่ดี ทั้งธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจขนส่งทางบก ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ธุรกิจทดสอดความปลอดภัย ยกเว้นธุรกิจขายแก๊ส ที่ปรับตัวลดลงตามการปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทที่เปลี่ยนจากผู้ค้ามาตรา 7 ไปเป็นมาตรา 10 โดยกลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ 3,921.04 ล้านบาท โตจากปีก่อน 2.53% ซึ่งอยู่ที่ 3,824.27 ล้านบาท
ส่วนของกำไรสุทธิที่เป็นของบริษัทใหญ่ สำหรับปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 132.26 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 3.48% จากปี 2565 ที่มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 127.81 ล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัท มีผลขาดทุนจากการจัดประเภทเงินลงทุนอื่น ทำให้กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 15.16 ล้านบาท