
บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2565 มีรายได้รวม (Total Revenue) เท่ากับ 24,553 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 107%
ในส่วนของกำไรขั้นต้นจากการขายในไตรมาส 2/2565 เท่ากับ 4,303 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62% หรือเพิ่มขึ้น 1,645 ล้านบาทเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2564 อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นจากการขาย (Gross Profit Margin) ในไตรมาสนี้ เท่ากับ 19.2% ลดลงจาก 24.0% ในไตรมาส 2/2564
ทั้งนี้ กำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) ในไตรมาส 2/2565 เท่ากับ 3,081 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,680 ล้านบาท หรือ 120% จากไตรมาส 2/2564
สำหรับกำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในไตรมาส 2/2565 (รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับ 1,531 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จาก 1,407 ล้านบาทในไตรมาส 2/2564
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 GULF มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.89 เท่า เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 1.79 เท่า ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 เนื่องจากการเบิกเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพื่อนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน เปิดเผยว่า สำหรับครึ่งปีหลังของปี 2565 ความคืบหน้าของโครงการต่าง ๆ ยังเป็นไปตามแผน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 4 (662.5 เมกะวัตต์) ในเดือนตุลาคม หรือโครงการโซลาร์รูฟท็อปภายใต้ GULF1 ที่จะทยอยเปิดดำเนินการให้ครบ 100 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปี นอกจากนี้ GULF ได้เข้าถือหุ้น 50% ร่วมกับกันกุล ใน Gulf Gunkul Corporation ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม จำนวน 3 โครงการ รวมทั้งสิ้น 170 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ GULF สามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเข้ามาในงบการเงินตั้งแต่ไตรมาส 3/2565 เป็นต้นไป เนื่องจากทั้ง 3 โครงการได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปแล้ว จึงมั่นใจว่าผลประกอบการในปี 2565 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

นางสาวยุพาพิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน GULF อยู่ระหว่างการศึกษาโครงการโรงไฟฟ้าหลายโครงการ ทั้งโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ในยุโรป อังกฤษ อเมริกา และเอเชีย ซึ่งล้วนเป็นโครงการขนาดใหญ่ มีกำลังการผลิตไฟฟ้ามากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะมีข้อสรุปและเห็นความชัดเจนภายในปีนี้