นายชาลี จังวิจิตรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารและกลยุทธ์ในการบริหารจัดการภายในองค์กร ได้สร้างความเติบโตให้กับกลุ่มบริษัท เห็นได้จากผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2567 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้ 256.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 91.32 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 55.14% จากช่วงเดียวกันของปี 2566 ขณะที่กำไรสุทธิในไตรมาสนี้มีจำนวน 15.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 46.02 ล้านบาท หรือคิดเป็น 152.74 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 30.13 ล้านบาท โดยไตรมาสนี้รายได้ในกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีการเติบโตขึ้น 100% มีรายได้เพิ่ม 59.25 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากนโยบายการวางแผนการตลาดและแผนส่งเสริมการขายในด้านต่างๆ ส่งผลให้มียอดขายอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นตามลำดับ
สำหรับการเติบโตของรายได้และกำไรในไตรมาส 2 เป็นการเติบโตต่อเนื่องมาจากไตรมาสแรกที่มีรายได้ 209.78 ล้านบาท กำไร 26.34 ล้านบาท ส่งผลให้ภาพรวมผลประกอบการรอบครึ่งปีกลุ่มบริษัทมีรายได้ 464.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 164.29 ล้านบาท หรือ 54.77% จากช่วงเดียวกันของปี 2566 ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 42.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 128.84 ล้านบาท หรือคิดเป็น 148.76% จากงวดเดียวกันของปีก่อนเช่นกัน
จากผลประกอบการที่กล่าวมาข้างต้น แสดงให้เห็นความสามารถของ EMC ที่ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหาร และกลยุทธ์ในการบริหารจัดการภายในองค์กรที่ช่วยส่งเสริมให้สามารถสร้างผลกำไรและรายได้ที่ดี โดยบริษัทพร้อมที่จะวางแนวทางการบริหารที่มีประสิทธิภาพเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเติบโตให้กับกลุ่มบริษัททั้งปัจจุบันและอนาคต โดยช่วงครึ่งหลังปี 2567 บริษัทยังคงเดินหน้าในธุรกิจการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศ อีกทั้ง เป็นตลาดสำคัญที่จะทำให้บริษัทสามารถสร้างรายได้เพิ่มเติม ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) กว่า 1,260 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเข้าประมูลงานก่อสร้างขนาดใหญ่ อาทิ การก่อสร้างโรงงานของ PTTOR อาคารห้างสรรพสินค้า อาคารสถาบันบัณฑิตศึกษาจุฬาภรณ์ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,900 ล้านบาท บริษัทฯ มีความมั่นใจในศักยภาพและความเชี่ยวชาญในการดำเนินโครงการก่อสร้างประเภทนี้ โดยมีประสบการณ์ในการรับงานประมูลอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีโอกาสได้รับงานมากกว่า 60-70%
ซึ่งการดำเนินการหลังจากนี้ จะสามารถสร้างความคล่องตัวและความพร้อมในการลงทุนหรือร่วมทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ ทั้งต่อยอดธุรกิจเดิมที่มีความเชี่ยวชาญ และสร้างธุรกิจ New S Curve ใหม่ ที่บริษัทมุ่งเน้นการสร้างรายได้และกำไรให้กับบริษัทอย่างมีนัยยะสำคัญในอนาคตต่อไป