นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “WHAUP” เปิดเผยว่า ล่าสุด WHAUP ร่วมลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ระดับชั้นนำของโลก เพื่อดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานจากแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) โดยมีขนาดการผลิตไฟฟ้า 1.5 MW บนพื้นที่หลังคา 12,000 ตารางเมตร ภายใต้เม็ดเงินลงทุน 40 ล้านบาท สำหรับโครงการดังกล่าวเป็นการดำเนินการด้านพลังงานหมุนเวียนที่อยู่ภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของ WHA Group อีกหนึ่งโปรเจกต์ที่ตอกย้ำความเชี่ยวชาญของ WHAUP ในธุรกิจพลังงานสะอาดผ่านการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันด้านพลังงานใหม่ ๆ สอดคล้องกับพันธกิจของ WHA Group หรือ WHA: WE SHAPE THE FUTURE เพื่อสร้างโอกาสสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
นายสมเกียรติกล่าวเพิ่มเติมว่า WHAUP มีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกจาก BMW ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมาตรฐานการคัดเลือกคุณภาพและการติดตั้งที่สูงมาก ที่เราได้รับความไว้วางใจในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำว่าระบบการติดตั้งของ WHAUP อยู่ในระดับมาตรฐานโลก ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจของเราต่อไปในอนาคต
ความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจด้านพลังงานทางเลือกและพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถตอบโจทย์การเพิ่มคุณค่าทางธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของ WHA GROUP ที่จะช่วยส่งเสริมและขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านการใช้เทคโนโลยีของ WHAUP ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ดังนั้นด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์ยาวนานจะช่วยเพิ่มศักยภาพ และยกระดับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่ระดับสากลมากขึ้น
ด้าน มร. เอริค รูเก้ (Erik Ruge) กรรมการผู้จัดการ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย เปิดเผยว่า โดยส่วนตัวรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) มีขนาดการผลิตไฟฟ้า 1.5 MW บนพื้นที่หลังคา 12,000 ตารางเมตร ตอบสนองต่อนโยบายของบริษัทในการพัฒนาการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนให้ต่ำลง
ทั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย เล็งเห็นถึงความสำคัญของการติดตั้ง Solar Rooftop นอกจากจะช่วยลดต้นทุนด้านการใช้พลังงานไฟฟ้าของบริษัทตลอดอายุการใช้งานแล้ว ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 Offset) สู่ชั้นบรรยากาศได้มากกว่า 12,000 ตัน ตามนโยบายรักษ์โลก ลดโลกร้อน และลดการเกิดภาวะเรือนกระจกได้อีกด้วย