ดร.มัลลิกา แก่กล้า ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทเด็กซ์ซอน เปิดเผยว่า “บริษัทฯ มีรายได้รวมในไตรมาส 3/2567 จำนวน 185 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นเป็น 24.5% จาก 21.2% ในปีก่อน ในขณะที่ผลขาดทุนสุทธิลดลง 57.6% เหลือ 9 ล้านบาท จาก 20 ล้านบาทในปีก่อน การเติบโตนี้เป็นผลมาจากการขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคลาตินอเมริกาและเอเชีย และสำหรับผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 522 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 7 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 118.4% จากผลขาดทุน 38 ล้านบาทในปีก่อน บริษัทฯ ยังคงรักษาฐานะการเงินที่แข็งแกร่งด้วยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำเพียง 0.3 เท่า และในปี 2567 บริษัทฯได้รับการยอมรับด้านนวัตกรรมต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ในรางวัล SET Award สาขา Best Innovative Company Awards จากการพัฒนาตัวแปลงสัญญาณคลื่นความถี่เหนือเสียง ( High Resolution Ultrasonic Transducer) มีความโดดเด่นในเรื่องความละเอียดสูง ( High Resolution) จากการพัฒนาวัสดุที่ใช้ในการผลิตอุปกรณ์สามารถปรับปรุงคุณลักษณะของตัวแปลงสัญญาณคลื่นความถี่เหนือเสียง โดยการลดแกว่งของสัญญาณให้มีระยะเวลาสั้นลง เพื่อให้สามารถนำไปใช้ตรวจสอบด้วยความละเอียดในระดับ 1 มิลลิเมตร และสามารถทำงานในท่อนำส่งภายใต้แรงดันสูงบนอุปกรณ์ตรวจสอบท่อแบบไม่ทำลายได้อย่างมีประสิทธิภาพนวัตกรรมนี้ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นมาใหม่โดยทีมวิศวกรของบริษัทฯด้วยความเชี่ยวชาญทั้งด้านวิศวกรรมวัสดุศาสตร์และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งความสำเร็จนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าอุปกรณ์ที่ต้องใช้เทคโนโลยีจากต่างประเทศที่มีต้นทุนสูง มีข้อจำกัดระยะเวลาในการจัดส่ง อีกทั้งมาตรฐานการผลิตที่แตกต่างกันส่งผลต่อคุณภาพในการตรวจสอบท่อนำส่ง
ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 1,064 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.8% จากสิ้นปี 2566 โดยมีการลงทุนในเครื่องมือและอุปกรณ์เพิ่มเติม เช่น Caliper 52″, MFL 18″ และ UT-MC Modular เพื่อรองรับการให้บริการลูกค้าที่เพิ่มขึ้น มีหนี้สินรวม 229 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 836 ล้านบาท บริษัทฯ มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง 143 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 506% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมทั้งมีการบริหารต้นทุนทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินลดลง 38.5%
ดร.มัลลิกากล่าวเพิ่มเติมว่า “บริษัทฯ มีความมั่นใจในการบรรลุเป้าหมายรายได้รวม 704 ล้านบาทในปี 2567 โดยปัจจุบันมีงานในมือแล้ว 80% ของเป้าหมาย และได้รับสัญญาใหม่จากบริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ในประเทศไทย มูลค่า 324 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี 3 เดือน ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในเดือนมกราคม 2568 สร้างรายได้ประมาณปีละ 100 ล้านบาท การขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศอย่างต่อเนื่องจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนตามฤดูกาล”
ดร.มัลลิกา กล่าวทิ้งท้ายว่า “ผลประกอบการที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งสะท้อนความสำเร็จของกลยุทธ์การขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ และการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ที่สม่ำเสมอตลอดทั้งปี พร้อมกับการได้รับสัญญาใหม่มูลค่าสูง สร้างความเชื่อมั่นในการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว”