นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ปี 2566 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร 36,616 ล้านบาท ปรับตัวขึ้นร้อยละ 8.7 ผลจากการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ ที่มุ่งเน้นการนำนวัตกรรมทางการเงินมาสร้างมูลค่าให้กับลูกค้าโดยมีรายได้รวมจากการดำเนินงานขยายตัวร้อยละ 19.2 จากการเติบโตของสินเชื่ออย่างระมัดระวังในกลุ่มที่เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของธนาคาร เพื่อรักษาสมดุลด้านความเสี่ยงและผลตอบแทน โดยสินเชื่อในกลุ่มนี้เติบโตขึ้นเล็กน้อย ร้อยละ 1.5 แม้สินเชื่อรวมปรับตัวลดลงร้อยละ 0.6 จากสินเชื่อภาครัฐ และการขยายตัวของรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาด
ธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนเกี่ยวกับ IT เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มให้ดียิ่งขึ้น ต่อยอดดิจิทัลแบงกิ้ง เพื่อรับการเติบโตของอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอนาคต อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในองค์รวมที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับร้อยละ 41.6 ลดลงจากร้อยละ 43.7 ในปีที่ผ่านมา โดยตั้งสำรองเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาระดับของ Coverage ratio ในระดับสูง ที่ ร้อยละ 181.2 รองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ รวมถึงพิจารณาความเสี่ยงในทุกมิติอย่างรอบคอบ โดยหากรวมสำรองที่ได้ปรับปรุงระหว่างปี (one-time adjustment) ด้วยแล้ว Coverage ratio ของธนาคารอยู่ที่ประมาณร้อยละ 190 เมื่อเทียบกับ ร้อยละ 179.7 ในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ในไตรมาส 4 ธนาคารได้ตั้งสำรองในระดับที่เหมาะสมสำหรับลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งและกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันที่มีแนวโน้มของคุณภาพสินเชื่อที่เสื่อมค่าลงพร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป พร้อมบริหารคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวังต่อเนื่อง ทำให้ NPLs Ratio ลดลงอยู่ที่ร้อยละ 3.08
ณ 31 ธันวาคม 2566 ธนาคาร (งบการเงินเฉพาะธนาคาร) มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 17.64 และมีเงินกองทุนทั้งสิ้น
ร้อยละ 20.85 ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของ ธปท. รวมถึงมีสภาพคล่องในระดับที่เพียงพอโดยรักษาระดับของ Liquidity Coverage ratio (LCR) อย่างต่อเนื่อง สูงกว่าเกณฑ์ที่ธปท.กำหนด