นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ต้นทุนการผลิตและระดับราคาสินค้าทั่วไปปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนที่มีค่าครองชีพและต้นทุนในการประกอบอาชีพปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs) ทำให้กำไรลดลงและประสบกับปัญหาด้านสภาพคล่องจากการไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินได้ กระทรวงการคลังเล็งเห็นว่าหากปัญหาดังกล่าวไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างอเศรษฐกิจไทยในภาพรวม
ดังนั้น เพื่อเป็นแก้ไขและบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงเป็นการสนองตอบนโยบายรัฐและสอดรับกับบทบาทธนาคารเพื่อสังคม ธนาคารออมสินจึงได้ออกโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ SMEs โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. โครงการให้สินเชื่อตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชนรายย่อย เริ่มดำเนินโครงการมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 ประกอบด้วย
1.1 กลุ่มสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำภาคอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 4 มาตรการ แบ่งเป็น สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำสำหรับกลุ่มลูกค้าที่ประกอบธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์รวม 2 มาตรการ ได้แก่ สินเชื่อ GSB D – Home กระตุ้นเศรษฐกิจ และสินเชื่อ GSB D – Home สร้างบ้านเพื่อคนไทย และสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำสำหรับกลุ่มประชาชนรายย่อยรวม 2 มาตรการ ได้แก่ สินเชื่อบ้านออมสินเพื่อคนไทย และสินเชื่อ Top Up
1.2 กลุ่มสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อบรรเทาผลกระทบและแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนด้วยการ Refinance สินเชื่อที่มีดอกเบี้ยสูงในตลาด มาใช้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของธนาคารออมสิน ภายใต้โครงการ “สินเชื่อรีไฟแนนซ์เพื่อสังคม” จำนวน 4 มาตรการ แบ่งเป็น สินเชื่อรีไฟแนนซ์สำหรับกลุ่มลูกค้าฐานราก รวม 2 มาตรการ ได้แก่ สินเชื่อรีไฟแนนซ์สินเชื่อผู้ประกอบอาชีพอิสระ (Re-Nano) และสินเชื่อรีไฟแนนซ์สินเชื่อส่วนบุคคล (Re P-loan) และสินเชื่อรีไฟแนนซ์สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อยบุคคล รวม 2 มาตรการ ได้แก่ สินเชื่อรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิต (Re-Card) และสินเชื่อรีไฟแนนซ์สินเชื่อที่อยู่อาศัย (Re-Home)
2. โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ GSB Boost Up โดยธนาคารออมสินสนับสนุนแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำวงเงิน 100,000 ล้านบาท ให้แก่สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ ทั้งธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจในอัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี เพื่อให้สถาบันการเงินนำไปปล่อยสินเชื่อต่อให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 3.5% ต่อปี ในระยะเวลา 2 ปี วงเงินต่อรายไม่เกิน 40 ล้านบาทรวมทุกสถาบันการเงินโดยผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจสามารถยื่นคำขอสินเชื่อได้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568 ทั้งนี้ ภายใต้วงเงินดังกล่าวธนาคารออมสินสามารถให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการโดยตรงในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเดียวกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการเพื่อรองรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย
ผู้อำนวยการ สศค. กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ SMEs เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นวงกว้าง รวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและพัฒนาศักยภาพในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตได้ในระยะยาวต่อไป ทั้งนี้ คาดว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวของธนาคารออมสินจะสามารถสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ได้ประมาณ 0.27%