นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า “ธนาคารโลก (WORLD BANK) ได้จัดทำรายงานการประเมินรายได้และรายจ่ายภาครัฐของประเทศไทย (Public Spending and Revenue Assessment: PRSA) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าระบบภาษีของไทยมี tax gap อยู่ที่ประมาณร้อยละ 5.6 ของ GDP โดยเฉพาะในกลุ่มบุคคลธรรมดา ซึ่งหมายความว่า ประเทศไทยยังสามารถเพิ่มการจัดเก็บรายได้ภาครัฐ ผ่านการปฏิรูปการบริหารจัดการและการพัฒนาประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี ซึ่งแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของกรมสรรพากรที่มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยสาระสำคัญของโครงการ RD10X มีดังนี้
1. ปรับบทบาทสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา จากเดิมที่มุ่งเน้นการให้บริการรับแบบแสดงรายการภาษี มาเป็นการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของบริบทโลกยุคใหม่ เนื่องจากปัจจุบันผู้เสียภาษียื่นแบบแสดงรายการภาษีผ่านช่องทางออนไลน์ (e-Filing) มากกว่าร้อยละ 80 ของปริมาณทั้งหมด
2. พัฒนาศักยภาพบุคลากร (Reskill & Upskill) เสริมสร้างทักษะความชำนาญด้านภาษีให้บุคลากรมีความเป็นมืออาชีพ สอดรับกับภารกิจที่เปลี่ยนไปรวมถึงรูปแบบการทำงานในยุคดิจิทัล
3. ขยายฐานภาษีในกลุ่มเศรษฐกิจนอกระบบ (Informal Economy) มุ่งนำผู้ที่อยู่นอกระบบภาษีเข้าสู่ระบบ เพื่อสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในระบบภาษีของประเทศ พร้อมทั้งวางรากฐานการจัดเก็บภาษีที่ยั่งยืนในระยะยาว”
อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวสรุปว่า “เป้าหมายสำคัญของโครงการ RD10X คือ การนำระบบงานดิจิทัลและ Big Data มาใช้ในการขยายฐานภาษีให้กว้างขึ้น โดยการนำผู้มีรายได้ถึงเกณฑ์เข้าสู่ระบบ เพื่อสร้างความทั่วถึง เป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี และสร้างความยั่งยืนทางการคลัง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญ สู่การพัฒนาประเทศต่อไป
กรมสรรพากรเชื่อว่า RD10X จะช่วยยกระดับการจัดเก็บภาษีของประเทศ ให้มีความทั่วถึง เป็นธรรม และสะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของระบบภาษีไทย”